หุ้นไทยปิดร่วง 10 จุด ผิดหวังผลดำเนินงานกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ KCE นำร่วง
“ตลาดหุ้นไทย” ปิดตลาดลดลง 10.15 จุด หรือ 0.60% นักลงทุนผิดหวังผลประกอบการไตรมาส 4 ของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ KCE “บล.เมย์แบงก์” ชี้ หน้าหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ 3 ตัวได้แก่ KCE DELTA และ HANA ดึงดัชนีลงกว่า 5 จุด
ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาด “หุ้นไทย” วันนี้ผันผวนในทิศทางปรับตัวลดลงเกือบทั้งวัน ซึ่งดัชนีทำต่ำสุดอยู่ที่ 1,667.79 จุด ก่อนมาปิดตลาดที่ 1,670.34 จุด ลดลง 10.15 จุด หรือ 0.60% มูลค่าซื้อขาย 60,522.85 ล้านบาท
หุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่
1. KCE มูลค่า 5,038.44 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 50.50 บาท ลดลง 6.50 บาท หรือ 11.40%
2. DELTA มูลค่า 2,620.39 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 930 บาท ลดลง 40 บาท หรือ 4.12%
3. PTTEP มูลค่า 1,616.97 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 165 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลงจากราคาปิดก่อนหน้า
4. AOT มูลค่า 1,479.81 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 74 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 0.68%
5. PANPU มูลค่า 1,400.28 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 11 บาท ลดลง 0.20 บาท หรือ 1.79%
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ จากฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กล่าวว่า วันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง ในลักษณะ Sideway Down เนื่องจากตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการไตรมาส 4 ของบริษัทจดทะเบียนอย่างมาก โดยเฉพาะหน้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อย่าง บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE ที่เป็นตัวนำตลาดดิ่งลงมา เพราะกำไรที่รีพอร์ตออกมาเมื่อคืนนี้ (7 ก.พ.) ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์มากพอสมควร อีกทั้งกำไรขั้นต้น (Gross Profit) อยู่ในเกณฑ์ต่ำ
มากไปกว่านั้น ภาคบ่ายของวันนี้ KCE จัดประชุมเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งโทนของการประชุมออกมาในทางลบต่อเนื่อง เพราะแนวโน้มของปีนี้สกุลเงินบาทแข็งค่าเร็วมาก ซึ่งเป็นปัจจัยกดดัน KCE อย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งแรงกดดันของกำไรขั้นต้นยังส่งผลต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 1 ของปีนี้ด้วย
“หน้าหุ้นวันนี้ที่ปรับตัวลงมา และมีนัยต่อตลาดประกอบด้วย KCE ที่ทำให้ดัชนีฯ ย่อตัวลงน้อยกว่า 1 จุด บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ทำให้ดัชนีลดลง 3.7 จุด และ บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA ดึงดัชนีลง 0.2 จุด ซึ่งวันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยในภาพรวมวันนี้ทิ้งตัวลงมาราวๆ 10 จุด จะเห็นว่าแค่ภาคอิเล็กทรอนิกส์ 3 ตัวก็มีผลกับดัชนีฯ แล้วประมาณครึ่งหนึ่ง”
วันพรุ่งนี้ (9 ก.พ.)ดัชนีตลาดหุ้นไทย อาจปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ด้วยแนวรับ 1,660 จุด ส่วนแนวต้าน 1,680 จุด จากผลประกอบการไตรมาส 4 ของบริษัทจดทะเบียนภายในประเทศ ประกอบกับค่าเงินบาทที่ปรับนิ่งมากขึ้น หลังจากเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา สกุลเงินบาทอ่อนค่าค่อนข้างเร็ว “จริงๆ ช่วงเช้าตลาดมีแนวโน้มเป็นบวกด้วยซ้ำจากปัจจัยด้านเงินบาทปรับตัวนิ่งขึ้น แต่กลับมาโดนปัจจัยเรื่องผลประกอบการของหน้าหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ตลาดจึงดิ่งลงอย่างรวดเร็ว”
ทั้งนี้ ปัจจุบันนักลงทุนจำเป็นต้องจับตาฟันด์โฟลว์ต่างชาติที่ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง 6 วันติดต่อกัน ประมาณหมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยกดดันจากเรื่องค่าเงินบาทอยู่ในเกณฑ์ 33 บาทต้นๆ และดัชนีดอลลาร์อยู่ประมาณ 100-101 จุด มานาน ทว่าเมื่อตลาดเผชิญกับการที่ตัวเลขภาคการจ้างงานสหรัฐร้อนแรงมาก ทำให้ตลาดหันมามองว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าอัตราปัจจุบันหรือไม่ จะได้ยับยั้งให้เงินเฟ้อค่อยๆ ปรับฐานลงมา ทั้งหมดส่งผลต่อเนื่องให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งตัว
“พอดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ประกอบกับขณะนี้เงินทุนต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยเยอะมากแล้ว จริงๆ เขาเข้ามาตั้งแต่ 38 บาท จนตอนนี้มาอยู่ 33 บาท ดังนั้นจุดนี้เป็นจุดหนึ่งที่กองเฮดจ์ฟันด์ระยะสั้นอาจจะล็อกไว้ก่อน คือขายหุ้น และล็อกค่าเงินกลับไปเป็นดอลลาร์”
สำหรับคำแนะนำในการลงทุนควรพิจารณาทั้งหมด 2 ส่วนคือ แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4 ดี และอีกครึ่งหนึ่งคือ บริษัทจดทะเบียนนั้นควรมี Story ที่เป็นบวกในอนาคต
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์