KEX เผยปี 65 พลิกขาดทุน 2.83 พันล้าน จากปี 64 กำไรที่ 46.9 ล้าน
KEX เผยปี 65 พลิกขาดทุนสุทธิ 2.83 พันล้าน จากปี 64 มีกำไรสุทธิ 46.9 ล้านบาท เหตุสงครามรัสเซีย-ยูเครน-ต้นทุนดอกเบี้ย-เงินเฟ้อ-เศรษฐกิจจีนชะลอตัว” ปัจจัยลบต่างๆ ทำกำลังซื้อประชาชนลด และเปิดประเทศการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคเป็น offline มากขึ้น
บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX แจ้งผลประกอบการผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ปี 2565 บริษัทพลิกขาดสุทธิ 2,829.84 ล้านบาท จากปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 46.92 ล้านบาท
สำหรับ ปี2565 เป็นปีที่บริษัทต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศประสบความท้าท้ายจากปัจจัยสำคัญต่าง ๆ มากมาย เช่น การเริ่มต้นของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในประเทศต่าง ๆ เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนอันเนื่องมาจากนโยบาย COVID-ZERO อันเข้มงวด เป็นต้น ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ก่อให้เกิดการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างเป็นสาระสำคัญของต้นทุน การดำเนินงานขององค์กรต่าง ๆ โดยเฉพาะต้นทุนค่าน้ำมันและต้นทุนทางการเงิน ส่งผลให้กำลังซื้อของประชำชนทั่วโลกยังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
• สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อธุรกิจแพลตฟอร์ม E-commerce ในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปยังธุรกิจจัดส่งพัสดุด่วนในตลาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เบาบางลงในช่วงกลางปี 2565 ที่ผ่านมาโดยความต้องการและกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงจากภาวะทางเศรษฐกิจ ประกอบกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค เป็น offline มากขึ้นจากการเปิดประเทศหลังสถานการณ์โควิดที่แพร่ระบาดต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 2 ปี ส่งผลให้อัตราการเติบโตของอุปสงค์ในธุรกิจจัดส่งพัสดุด่วนลดลง นำไปสู่การแข่งขันทางด้านราคาที่รุนแรงอย่างต่อเนื่องระหว่างผู้เล่นในธุรกิจเพื่อเพิ่มปริมาณพัสดุที่จัดส่งและส่วนแบ่งทางการตลาด
• จากการดำเนินกลยุทธ์ธุรกิจหลักของบริษัทฯ KEX สามารถเพิ่มจำนวนพัสดุที่จัดส่งได้ถึงร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับปี2654 อย่างไรก็ดี การเติบโตดังกล่าวนำมาซึ่งการเพิ่มขึ้นของต้นทุนในระดับสูงเพื่อเพิ่มศักยภาพในการจัดส่งพัสดุ โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อตลาดกลับเข้าสู่ช่วงภาวะปกติตามด้วยการเปิดประเทศ และการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce ที่ชะลอตัวลง บริษัทฯ ไม่สามารถลดต้นทุนการจัดส่งต่อหน่วยได้รวดเร็วตามที่คาดการณ์ไว้ราคาน้ำมันและพัสดุภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วประกอบกับการเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำและตลาดแรงงานที่ตึงตัว ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 18,858.1 ล้านบาท ในปี 2564 เป็น 20,681.5 ล้านบาท ในปี2565 คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.7 ส่งผลให้บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิส่วนของผู้เป็นเจ้าของของบริษัทจำนวน 2,829.8 ล้านบาท ในปี2565 จากปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิจำนวน 46.9 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานดังกล่าวนี้รวมถึงมีค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (one-time expenses) จำนวนรวม 384.2 ล้านบาท ซึ่งโดยส่วนใหญ่เกิดจากการปรับเปลี่ยนขนาดของเครือข่ายและศักยภาพในการจัดส่งพัสดุให้เหมาะสม ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2565 โดยหากไม่รวมรายการดังกล่าวจะมีผลทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปกติ (Normalized operating expenses) เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 เมื่อเทียบกับปี 2564
• ในปี 2566 บริษัทได้วางแผนการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานการลงทุนในการปรับปรุงกระบวนการและอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อลดการพึ่งพำแรงงานคน และมุ่งเน้นปรับปรุงคุณภาพการให้บริการที่ดีเพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทย
• แผนการดำเนินงานในปี2566 ของบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นหลักอันได้แก่ SF Holding และ Kerry Logistics Network (KLN) ในด้านการแลกเปลี่ยนประสบกาณ์ ความเชี่ยวชาญ และ know-hows ในการประกอบธุรกิจและการจัดการ ตลอดจนมีความพร้อมและมุ่งมั่นในการให้สนับสนุนทางการเงิน เพื่อการเติบโตของบริษัทฯ ในประเทศอย่างมั่นคงในระยะยาว
ขณะที่ บริษัทเตรียมประชุมผู้ถือหุ้น งดจ่ายปันผลจากผลการดำเนินงานปี 2565 เนื่องจากบริษัทมีผลดำเนินงานขาดทุน