‘กูรู’ยกหุุ้น SET50 ปันผลเด่น แนะซื้อก่อนประกาศขึ้นเครื่องหมาย XD
‘บล.ยูโอบี เคย์เฮียนฯ’ แนะเทคนิคซื้อรับปันผล ‘รีเทิร์น’ ที่ดี ช่วง 3-4 เดือนแรกของปี ด้าน บลจ. เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ เผยต้องดูค่า ROE หากมีรีเทิร์นเกิน 10% สามารถจ่ายปันผลได้ค่อนข้างดี ส่วน บล.ทรีนีตี้ บอกหุ้นไทยมีเสน่ห์ดึงดูดนักลงทุน เทียบภูมิภาคเอเชีย
สำหรับ ‘นักลงทุน’ ที่ลงทุนในตลาดหุ้น ! นอกจากกำไรจากส่วนต่างของราคา (Capital Gain) อีกหนึ่งเป้าหมายคือ ‘เงินปันผล’ ที่ถือเป็นแหล่งเพิ่มพูนให้นักลงทุน ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจโลกมีความผันผวน ดังนั้นสินทรัพย์เสี่ยงสูงอย่าง ‘หุ้น’ จึงต้องเน้นเลือกลงทุนที่ตอบโจทย์ความปลอดภัยของพอร์ตโฟลิโอ และหนึ่งในนั้นคือ ‘หุ้นปันผล’ ถือเป็นหนึ่งในความปลอดภัยของนักลงทุนในยุคเงินเฟ้อสูง !!
โดยหลังจาก บริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ทยอยประกาศผลประกอบการออกมาแล้ว ซึ่งจะมาพร้อม ‘เทศกาลจ่ายเงินปันผล’ โดยที่ชัดเจนสุดจะเป็นบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ใน ‘SET50’ ถือว่าเป็นหุ้นในกลุ่มที่มีธุรกิจทนทานและแข็งแกร่งแม้ในยามที่เศรษฐกิจทั่วโลกมีความผันผวน ไม่ใช่ว่า ‘ธุรกิจ’ หรือ ‘หุ้น’ ในกลุ่ม SET50 จะไม่ได้รับผลกระทบ แต่จะได้รับผลกระทบน้อยสุด และในยามที่เศรษฐกิจมีทิศทางดีขึ้น ก็จะเป็นหุ้นกลุ่มแรกๆ ที่มีการพลิกฟื้นกลับมาเติบโตโดดเด่นได้เร็วสุดเช่นกัน
ดังนั้น หากมีการคัดกรองอีกชั้นหนึ่งจะเห็นว่าหุ้นในกลุ่ม SET50 ในบางหลักทรัพย์ ถูกจัดอันดับให้เข้าไปในกลุ่ม ‘หุ้น SETHD’ นั่นแปลว่า หุ้นตัวนั้นสามารถจะจ่ายเงินปันผลได้ค่อนข้างสูง ถือเป็นหุ้นอีกกลุ่มที่นักลงทุนต่างให้ความสนใจและเลือกลงทุนได้ !
‘กรุงเทพธุรกิจ’ สอบถามเหล่า ‘กูรู’ ในตลาดหุ้นไทย ว่า หุ้นปันผลตัวไหนโดดเด่น และมีความน่าสนใจลงทุนได้ใน SET50 บ้าง
‘กิจพณ ไพรไพศาลกิจ’ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บอกว่า หุ้นในกลุ่มที่อยู่ใน SET50 ที่น่าสนใจในปี 2566 ยกให้ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) เนื่องจากเริ่มเห็นการฟื้นตัวของการใช้บริการของผู้บริโภคด้านการโทรมากขึ้น หลังจากช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจไม่ดีผู้บริโภคลดรายจ่ายลง แต่พอสถานการณ์ฟื้นตัวผู้บริโภคกลับมาใช้บริการค่าโทรมากขึ้น
ดังนั้น หากมีการคัดกรองอีกชั้นหนึ่งจะเห็นว่าหุ้นในกลุ่ม SET50 ในบางหลักทรัพย์ ถูกจัดอันดับให้เข้าไปในกลุ่ม ‘หุ้น SETHD’ นั่นแปลว่า หุ้นตัวนั้นสามารถจะจ่ายเงินปันผลได้ค่อนข้างสูง ถือเป็นหุ้นอีกกลุ่มที่นักลงทุนต่างให้ความสนใจและเลือกลงทุนได้ !
ขณะที่ หุ้นบมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) , บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) , บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) , บมจ.คาราบาวกรุ๊ป (CBG) และบมจ.โอสถสภา (OSP) จะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ในเรื่องของต้นทุนที่มีการปรับตัวลดลง ก่อนหน้านี้จะได้รับผลกระทบในเรื่องของ ‘ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ’ ที่สูงมาก หรือต้นทุนการผลิตอื่น ๆ เช่น ต้นทุนบรรจุภัณฑ์ที่จะลดลง เป็นต้น พอมาถึงปีนี้จะเห็นภาพของทุนต้นของหลาย ๆ ส่วนปรับลดลง จึงทำให้เห็นความสามารถในทำกำไรที่จะฟื้นตัวกลับมาดีได้
สำหรับ เทคนิคการซื้อรับเงินปันผลจะให้ได้รับ ‘ผลตอบแทน’ ที่ดีควรซื้อในช่วง 3-4 เดือนแรกของปี แต่ในจังหวะซื้อที่ดีจริง ๆ จะอยู่ในช่วงปลายปี หรือเดือนพ.ย. และมาขายในช่วงเม.ย. หรือพ.ค. เพราะช่วงปลายปีจะเป็นการลงทุนในรอบใหญ่ ๆ
“จากสถิติหุ้นขึ้น XD แล้วหุ้นมักจะไม่น่าสนใจ ช่วงที่ดีของการซื้อหุ้นปันผลใน SET 50 ควรซื้อก่อนหน้า 3 เดือน หรือว่า หลังจากนั้น เพราะพอหุ้นใกล้ XD มักจะตอบรับปัจจัยบวกไปล่วงหน้าแล้ว และหลายครั้งกลายเป็นว่าหลังขึ้น XD ราคาหุ้นอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับฐานระยะหนึ่ง หรืออาจต้องใช้ระยะเวลาในการทำกำไรในการลงทุนเก็งกำไร แต่การลงทุนเพื่อรับปันผลอาจจะต้องมองภาพที่ไกลกว่านั้น ในอุตสาหกรรมนั้นๆ มีการเติบโตอะไรเป็นพิเศษ ทำให้มีการมองเห็นโอกาสของการเติบโต ซึ่งมีการปรับเพิ่มประมาณการจะทำให้มีได้รับปันผลฟรี และยังทำให้มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นไปต่อ”
‘ประกิต สิริวัฒนเกตุ’ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด มีมุมมองว่า หากนักลงทุนดูหุ้นปันผลใน SET50 ที่มีการจ่ายอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล หรือ Dividend Yield แบบเกิน 5% ขึ้นไป อาจจะมีหุ้นให้เลือกไม่มาก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะไปกระจุกตัวอยู่ที่ ‘กลุ่มธนาคาร’ หรือ ‘กลุ่มอสังหาริมทรัพย์’ โดยมีเทคนิคการเลือกจำเป็นต้องดูข้อมูลบริษัทที่มีการจ่ายปันผลแน่นอน จ่ายได้ทุกปี นโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ส่วนผลประกอบการต้องมีแนวโน้มสามารถฝ่าฝันทุกมรสุมได้
ยกตัวอย่าง ช่วงโควิด-19 ผลประกอบการต้องไม่ได้แย่ลงไปมาก หรืออาจจะเข้าไปดูค่า ROE คือ Net Profit ที่มีกำไรสุทธิ แล้วนำมาหารด้วย Equity เป็นส่วนของผู้ถือหุ้น เมื่อคำนวณออกมาแล้วจะได้เป็นอัตราส่วนทางการเงิน ซึ่งถ้าหุ้นนั้น ๆ มี ROE มีค่ารีเทิร์นเกิน 10% มาโดยตลอด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วในกลุ่ม SET50 จะถือว่าสามารถจ่ายปันผลได้ค่อนข้างดี เช่น หุ้น ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ก็จ่ายปันผลที่ดี แต่หุ้น PTTEP ยังมีความผันผวนเรื่องของกำไร อาจจะต้องใช้ความระวังการลงทุน แต่ถ้าตัวที่มีกำไรไม่ได้ผันผวนมากอาจจะมีแย่บ้างหากต้องเจอกับวิกฤติ แต่สุดท้ายก็สามารถพลิกกลับขึ้นมาได้ เช่น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) , บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) หรือกลุ่มอสังหา บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) เป็นต้น
“หุ้นตัวที่แข็งแกร่งมักจะมีผลตอบแทนที่ดี แต่มาในปีนี้ผลประกอบการไม่ได้เป็นไปตามสถิติ ถ้าตัวที่ขึ้นแน่ ๆ จากสถิติในช่วง 4 เดือน ในกลุ่ม SET 50 ที่สามารถคาดหวังเงินปันผลได้จะเป็น ADVANC SCC และ TISCO”
ทั้งนี้ ตามหลักแล้วมักจะซื้อหุ้นก่อนล่วงหน้า ก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD สัก 2 เดือน เมื่อมีราคาปรับเพิ่มขึ้นไปตอบรับกับเงินปันผล ถ้าเป็นนักลงทุนเก็งกำไรก็สามารถนำไปขายก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD ก็ได้ ข้อดีคือ ขายแล้วไม่ได้ปันผลแต่ไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าเราถือไปเพื่อรอเอาปันผลก็จะโดนภาษี ซึ่งนักลงทุนบางรายก็อาจจะลงทุนเพื่อนเอาปันผลก็ได้โดยที่ไม่สนใจในเรื่องของภาษี หลักการคือ ต้องการนำเงินปันผลมาใช้ เป็นต้น
‘ณัฐชาต เมฆมาสิน’ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ จำกัด ให้ข้อมูลเสริมว่า จากการศึกษาพบหุ้นปันผลสูง ผ่านดัชนี SETHD มักจะ Outperform ใน SET Index ได้ในช่วง 4 เดือนแรก ของทุก ๆ ปีเสมอ และที่น่าสนใจคือ สถิติตั้งแต่มีดัชนีนี้จัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2011 ช่วงประมาณ 4 เดือนแรกของทุก ๆ ปี ไม่เคยให้ผลตอบแทนที่ติดลบ ยกเว้นเพียงปีเดียวคือ ปีที่มีโควิด-19 เพราะฉะนั้นทำให้สอดคล้องกับช่วง 4 เดือนแรก ของการประกาศงบปีออกมา รวมถึงเห็นการประกาศจ่ายเงินปันผลออกมาด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่านักลงทุนที่เน้นเงินปันผลก็มีค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยถ้าเทียบ Dividend Yield หรือ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล ในภูมิภาคเอเชียถือว่ายืนเหนือกว่าค่าเฉลี่ย แม้ในแง่ของการเติบโตในประเทศถือว่ายังไม่ได้จูงใจมากนักตามสภาพของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น แต่ในแง่ บจ. ที่มีศักยภาพจ่ายเงินปันผลค่อนข้างสูง ซึ่งต้องยอมรับตลาดหุ้นไทยค่อนข้างที่จะมี ‘เสน่ห์ดึงดูดนักลงทุน’ ได้
สำหรับ กลยุทธแนะนำหากเป็น ‘นักลงทุนมือใหม่’ ที่ยังไม่ค่อยมีความรู้มากนักให้เลือกซื้อหุ้นปันผลในช่วงปลายปีของทุก ๆ ปี หรือช่วงปลายเดือนธ.ค. และไปขายในช่วงปลายเดือนเม.ย. ของทุกปี หรือในช่วง 4 เดือนแรก ขณะเดียวกันนักลงทุนอาจจะสงสัยหากเลยช่วง 4 เดือนแรกไปแล้วถ้าจะเข้าไปลงทุนจะสายไปแล้วหรือไม่ ซึ่งก็สามารถเข้าไปลงทุนได้ถือว่ายังไม่เสียเปรียบสักเท่าไรเมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี
หุ้นปันผลส่วนใหญ่ควรขายก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD เพราะว่าจากการศึกษาการรอให้ขึ้นเครื่องหมาย XD แล้วรับเงินปันผลโอกาสที่หุ้นจะปรับตัวลดลงแรงกว่าเงินปันผลที่ได้รับ ซึ่งอาจจะต้องระวังตรงนี้ด้วย อีกทั้ง เงินปันผลตรงนั้นต้องเสียภาษีเงินปันผลด้วยเช่นเดียวกัน นั่นจึงเป็นคำอธิบายว่าสถิติให้ขายในช่วงเดือนเม.ย. เพราะส่วนใหญ่เครื่องหมาย XD ตลาดหุ้นไทยจะไปกระจุกตัวอยู่ในเดือนพ.ค. ซื้อก่อนที่จะประกาศงบออก และประกาศจ่ายปันผล แล้วจึงไปขายใกล้ ๆ ก่อนเครื่องหมาย XD ถือเป็นกลยุทธ์ที่ดี
ในช่วงที่สภาวะตลาดผันผวนปรากฎการณ์อย่างหนึ่งจะเห็น ‘หุ้นขนาดกลาง-เล็ก’ จะโดนแรงเทขายค่อนข้างหนักมาก จึงเป็นตัวพิสูจน์ชั้นดีว่า ‘หุ้นขนาดใหญ่’ ที่สามารถจ่ายเงินปันผลได้สูงจะค่อนข้างผันผวนน้อยกว่า หุ้นขนาดกลาง-เล็กพอสมควรเป็นหุ้นกลุ่มหนึ่งที่นักลงทุนอาจจะไม่ชอบความผันผวนของตลาดมากนักก็เข้ามาลงทุนในหุ้นปันผลได้
สำหรับ หุ้นปันผลที่น่าสนใจในช่วงต้นปีได้มีการคัดเลือกมา ‘3หลักทรัพย์’ จากข้อมูลในอดีต 7 ปีย้อนหลัง เป็นหุ้น perform ได้ดี ในช่วง 4 เดือนแรกของปีทำให้เชื่อมั่นได้ระดับ 80% ให้ผลตอบแทนเป็นบวกแบบมีนัยสำคัญ ประกอบกับการประเมินค่าปัจจุบันไม่ได้อยู่ในโซนที่ตรึงตัว ได้แก่ ADVANC , TISCO และ SCC ซึ่ง 3 หลักทรัพย์นี้นักลงทุนซื้อแล้วสามารถปิดจอได้ เนื่องจากราคาค่อนข้างนิ่ง ไม่หวือหวา แต่ถ้าสไตส์เทรดดิ้งอาจจะไม่ค่อยชอบสักเท่าไร แต่ถ้าเป็นนักลงทุนที่ conservative เน้นปันผลก็เข้าไปลงทุนได้เหมือนกัน