WHA ชี้จีนซื้อที่ดินพุ่ง รับอานิสงส์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
"ดับบลิวเอชเอ” เผยลูกค้าต่างชาติติดต่อ"ซื้อที่ดิน"เพียบ เหตุผู้ประกอบการย้ายฐานการผลิต จากความติงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ แย้มเจรจา 2 ลูกค้ารายใหญ่ หากปิดดีลสำเร็จลุ้นดันยอดยอดขายปีนี้ทะลุเป้า โบรก ชี กลุ่มนิคมฯ มีอัพไซด์ระยะกลาง-ยาว
สถานการณ์ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ 'รัสเซีย- ยูเครน' มากขึ้น ล่าสุด รัสเซียประกาศระงับความร่วมมือในสนธิสัญญาควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ “New START” กับทางสหรัฐที่เดิมจะสิ้นสุดปี 2569 ขณะที่สหรัฐฯ มีแผนคว่ำบาตรบริษัทจีนที่ให้การสนับสนุนรัสเซียรบกับยูเครน
ปัจจัยดังกล่าวหนุนให้ผู้ประกอบการเย้ายฐานการผลิต ซึ่งประเทศไทยได้รับอานิสงส์ดังกล่าว รวมไปถึงประเด็น รัฐให้ BOI ของการลงทุนในฝั่งรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ล่าสุด ฮุนได เกาหลีใต้ เตรียมลุยตลาดในไทยอย่างเต็มตัว 1 เม.ย. นี้ ทำให้ “กลุ่มหุ้นนิคมอุตสาหกรรม” ปรับตัวคึกคักตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า ตอนนี้มีลูกค้าต่างประเทศโดยเฉพาะรายใหญ่ ติดต่อขอซื้อและเช่าที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก พบว่า 3 กลุ่มธุรกิจหลักที่เข้ามามากที่สุด ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ คอนซูมเมอร์
ส่วนประเทศที่เริ่มเข้ามามากขึ้นอย่างชัดเจน คือ จีน ซึ่งมีสัดส่วน 50% ของพอร์ตทั้งหมด และซึ่งพอร์ตลูกค้าเริ่มกระจายหลายประเทศมากขึ้น ทั้งกลุ่มจีนและไม่ใช่จีน
“จากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนสหรัฐไม่จบง่ายๆ หรือความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ประเทศอื่นๆ และการที่จีนมีกฎระเบียบเข้มขึ้น ทำให้กลุ่มนักลงทุนที่เคยลงทุนในจีน เริ่มทยอยย้ายฐานทุนออกมาในไทยมากขึ้น และเราได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้วในปีนี้”
สำหรับขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาลูกค้ารายใหญ่อยู่ 2 ราย โดยรายแรกเป็นกลุ่มซัพพลายเซนของค่ายรถยนต์ไฟฟ้า ขนาดพื้นที่ประมาณ 200-300 ไร่ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 1 ปีนี้ ส่วนอีกรายเป็นลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์รายใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะมีขนาดยอดขายใกล้เคียงกับ BYD ที่ราว600 ไร่ ซึ่งคาดเห็นความชัดเจนในช่วงกลางปี
ทั้งนี้หากบริษัทสามารถปิดดีลลูกค้ารายใหญ่ทั้ง 2 รายดังกล่าวได้ มีโอกาสที่ยอดขายที่ดินปีนี้จะมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1,750 ไร่ (ไทยและเวียดนาม) ส่วนในด้านของเป้าหมายรายได้ตอนนี้ยังคงเป้าหมายเดิมไว้ก่อน คาดว่าจะมีรายได้เติบโตตัวเลข 2 หลัก และถือเป็นระดับที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All time high) ต่อเนื่องจากปี 2565 ที่เติบโตกว่า 31%
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า เรามองบวกต่อทิศทางการขยับตัวเพิ่มไลน์ผลิตรถไฟฟ้า (EV) จากทั่วโลกมายังไทยซึ่งได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ค่ายรถยนต์จีน และล่าสุดคือ ฮุนได เกาหลีใต้ ตามข่าว
ทั้งนี้ การเป็นฐานผลิตรถยนต์ EV คาดว่าจะนำมาสู่โอกาสการลงทุนอีโคซิสเต็มท์ที่เกี่ยวข้องในระยะถัดไปด้วย และทิศทางดังกล่าวสอดรับเป้าหมาย BOI ที่คาดยอดขอ BOI ปี 2566 ที่ 500,000-600,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 อยู่ที่ 434,000 ล้านบาท ทิศทางด้านกล่าว ผสานกับโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมากที่การลงทุนโดยตลอดในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
โดยรวมมอง เป็นอัพไซด์ระยะกลางถึงยาว เพิ่มเติมต่อหุ้นกลุ่มนิคมฯ ได้แก่ AMATA ,WHA มีโมเมนตัมเชิงบวก เสริมภาพระยะสั้น ที่ได้ผลบวกจาการเปิดประเทศและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ด้วย
นายกรรณ์ หทัยศรัทธานักกลยุทธ์การลงทุน บล. กสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มการขายที่ดินของนิคมอุตสาหกรรมในอีกหลายปีข้างหน้าจะได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากการเข้ามายังประเทศไทยของผู้ผลิตรถยนต์ EV ทำให้เราคงมุมมองเชิงบวกสำหรับกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ การมีธุรกิจในเวียดนามจะช่วยให้หุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมชั้นนำทั้งหมดได้ประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ โครงการใหม่หลายโครงการของบริษัทพัฒนารายใหญ่ เช่น นิคมอุตสาหกรรมใหม่ในลาวของ AMATA และโครงการเมืองอุตสาหกรรมของ FPT จะช่วยส่งเสริมแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวของพวกเขา เรายังคงมีมุมองต่อ AMATA เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนักพัฒนานิคมอุตสาหกรรมราคาเป้าหมายพื้นฐาน 26.5 บาท