FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่น 3 เดือนข้างหน้า ลง 24.3% แต่ยังร้อนแรง หวังท่องเที่ยว
เฟทโก้ เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า (เดือนก.พ.- เม.ย.) อยู่ที่ระดับ 121.13 ปรับตัวลดลง 24.3% แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรง" นักลงทุนคาดหวังปัจจัยหนุนจากภาคท่องเที่ยว และเลือกตั้ง ขณะที่ปัจจัยฉุดคือ โควิดกลับมาระบาด และหนี้ภาคครัวเรือน
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (เดือนก.พ. - เม.ย.) อยู่ที่ระดับ 121.13 ปรับตัวลดลง 24.3% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง”
นักลงทุนมองว่า การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือ การเลือกตั้งในประเทศ และการไหลเข้าของเงินทุน
สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความกังวลต่อการกลับมาแพร่ระบาดของ Covid-19 หลังนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศมากขึ้น รองลงมาคือ สัดส่วนหนี้ภาคครัวเรือน และสถานการณ์การเมืองในประเทศก่อนการเลือกตั้ง
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
- ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (พฤษภาคม 2566) อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” (ช่วงค่าดัชนี 120-159) ลดลง 24.3% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 121.13
- ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ในขณะที่กลุ่มนักลงทุนสถาบัน อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว”
- หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร (BANK)
- หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดเหมืองแร่ (MINE)
- ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว
- ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ความกังวลต่อสถานการณ์โควิด หลังนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศมากขึ้น
“ผลสำรวจ ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2566 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่มปรับลดลง โดยนักลงทุนบุคคลปรับลด 27.0% อยู่ที่ระดับ 121.62 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับลด 9.1% อยู่ที่ระดับ 125.00 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลด 28.2% อยู่ที่ระดับ 107.69 และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับลด 23.6% อยู่ที่ระดับ 122.22
ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2566 SET Index ปรับตัวลดลงโดยเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก นักลงทุนมีความกังวลว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องหลังจากการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐ ที่เพิ่มขึ้นเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงการที่เงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องซึ่งเป็นผลจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทยกับต่างประเทศห่างกันชัดเจน นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้โดยตัวเลข GDP ล่าสุดที่ทางสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประกาศ พบว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปี 2565 ขยายตัวเพียง 1.4% ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 4.5%
ส่งผลให้ทั้งปี 2565 เศรษฐกิจไทยขยายตัวแค่ 2.6% ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่คาดว่าทั้งปีจะขยายตัวได้ถึง 3.2% โดย SET Index ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ปิดที่ 1,622.35 จุด ปรับตัวลดลง 2.9% จากเดือนก่อนหน้า ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 กว่า 43,562 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 24,565 ล้านบาท
ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ ทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยและนโยบายการเงินของ FED ปัญหาการจ้างงานจากแนวโน้มการลดคนอย่างต่อเนื่องของบริษัทชั้นนำในต่างประเทศ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยเฉพาะความขัดแย้งในรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งยืดเยื้อมานานการ 1 ปี และความขัดแย้งระหว่างสหรัฐ-จีน จากปัญหา “บอลลูนจีน” ที่รุกล้ำน่านฟ้าสหรัฐ ซึ่งอาจลุกลามไปเรื่องสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การฟื้นตัวภาคการท่องเที่ยวทั้งจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้นและนักท่องเที่ยวไทยจากมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยกลับสู่ช่วงก่อน Covid-19 ได้เร็วยิ่งขึ้น รวมถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศก่อนการเลือกตั้ง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์