หุ้น JMART ร่วง 9% หลัง ธปท. เลื่อนขอไลเซนส์ Virtual Bank
ธปท. ออกมาประกาศเลื่อน เวลาการเปิดรับสมัคร ผู้ที่จะยื่นขอใบอนุญาตธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) ออกไป ส่งผลให้หุ้น JMART ที่คาดหวังกับโปรเจกต์นี้ไม่เป็นไปตามคาด ราคา ณ วันที่ 25 เมษายน 2566 เวลา 16.00 น. ร่วงมาอยู่ที่ 17.60 บาท หรือ -1.80 บาท หรือ -9.28%
หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาประกาศเลื่อน เวลาการเปิดรับสมัคร ผู้ที่จะยื่นขอใบอนุญาตธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) ออกไป เป็นไตรมาส 3/66 และกำหนดเวลาที่จะให้ผู้ประสงค์จะยื่นขอใบอนุญาตจัดตั้ง Virtual Bank ออกไปเป็นช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ส่งผลให้หุ้น JMART ที่คาดหวังกับโปรเจกต์นี้ไม่เป็นไปตามคาด ราคา ณ วันที่ 25 เมษายน 2566 เวลา 16.00 น. ร่วงมาอยู่ที่ 17.60 บาท หรือ -1.80 บาท หรือ -9.28%
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า สาเหตุที่หุ้น JMART ปรับตัวลงมาแรงในวันนี้ ซึ่งมีด้วยกัน 2 เรื่องใหญ่ 1.ทิศทางธุรกิจเป็นช่วงขาลงในช่วงที่ผ่านมา การลงทุนในหลายๆ ด้านเริ่มมีข้อสงสัย จากก่อนหน้านี้ที่มีกรณีเกี่ยวกับหุ้น Corner จากการที่ผู้บริหารมีการใช้มาร์จิ้นซื้อหุ้นไล่ขึ้นมา ขณะที่ทิศทางผลประกอบการกลับยังไม่ดีขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเทขาย
และ 2. ประเด็น Virtual Bank จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เลื่อนการออกกฎเกณฑ์ออกไปในไตรมาส 3/66 ส่งผลกระทบในแผนธุรกิจใหม่ของ JMART จึงเป็นอีกผลหนึ่งที่ทำให้หุ้นร่วงลงมา ทั้งนี้ JMART มีความคาดหวังกับเรื่องนี้มาก พอเลื่อนเกณฑ์ออกไปก็ไม่มีประเด็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้น กลายเป็นปัจจัยลบลงไปอีก
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผลประกอบการน่าจะออกมาไม่ได้เลวร้ายมาก และเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มจะได้รับประโยชน์จากนโยบายของพรรคการเมืองที่กำลังหาเสียงอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแจกโทเคน 10,000 การแจกแท็บเล็ต อาจจะได้ประโยชน์ ซึ่งถ้าราคาปรับตัวลงมามากกว่านี้ ถือเป็นโอกาสในการเข้าไปเก็บได้
นายกรรณ์ หทัยศรัทธา ผู้ช่วยผู้จัดการ บล.ซีจีเอสซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า โดยรวมเป็นเรื่องของการเลื่อนเกณฑ์ Virtual Bank ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ขอดูกฎเกณฑ์เพิ่มเติมก่อน ถือเป็นเรื่องหลักในวันนี้ที่ทำให้มีการปรับตัวลงมา เพราะ JMART ถูกคาดเป็นตัวเต็งที่จะได้ ซึ่งก่อนหน้านั้น JMART ได้มีการเตรียมความพร้อมกับเรื่องนี้มาก พอมีการเลื่อนทำให้นักลงทุนเทขายออกมา
ขณะเดียวกันงบของกลุ่มไฟแนนซ์โดยภาพรวมอาจจะออกไม่ดีเหมือนกลุ่มธนาคาร เพราะโดยภาพรวมยังมีความกังวลเรื่อง NPL รวมถึงประเด็นหุ้นกู้ของ STARK ด้วยที่ทำให้ขาดความเชื่อมั่นจากนี้ไปว่า ถ้าจะมีการออกหุ้นกู้อีกอาจจะต้องมีการจ่ายดอกเบี้ยที่สูงกว่านี้หรือไม่ จึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่กระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทจดทะเบียนหลายๆ กลุ่ม และกลุ่มไฟแนนซ์เป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีการออกหุ้นกู้ค่อนข้างเยอะ
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของราคาที่มีการปรับตัวลดลงมายังมีความน่าสนใจ ซึ่งอาจจะต้องรอดูงบไตรมาส 1/66 และรอปรับประมาณการอีกครั้ง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์