ตลท.เผย ไตรมาส 1/66 บจ.กำไรสุทธิ 2.61 แสนล้าน หดตัว 6.2% เหตุต้นทุนพุ่ง

ตลท.เผย ไตรมาส 1/66 บจ.กำไรสุทธิ 2.61 แสนล้าน หดตัว 6.2% เหตุต้นทุนพุ่ง

ตลท.เผย ไตรมาส 1/66 บจ.กำไรสุทธิ 2.61 แสนล้าน ลดลง 6.2%  เหตุ ต้นทุนการผลิตเพิ่ม ด้าน บจ.ใน mai มีกำไรสุทธิ 2.15 พันล้าน ลดลง 32% จากมีรายการพิเศษกว่า1.4 พันล้าน หากตัดรายการพิเศษออก จะโต 34% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 786 บริษัท คิดเป็น 99.5% จากทั้งหมด 790 บริษัท (รวม  SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 31 มีนาคม 2566 และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) นำส่งผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2566 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 590 บริษัท คิดเป็น 74.7% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2566 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 4,200,891 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% มีต้นทุนการผลิต 3,320,652 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3% กำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 410,246 ล้านบาท ลดลง 17.3% และมีกำไรสุทธิ 261,116 ล้านบาท ลดลง 6.2% 

ตลท.เผย ไตรมาส 1/66 บจ.กำไรสุทธิ 2.61 แสนล้าน หดตัว 6.2% เหตุต้นทุนพุ่ง

 

สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 31 มี.ค.2566 บจ.ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ระดับ 1.52 เท่า ลดลงจาก 1.58 เท่า เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน

"การเปิดประเทศทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่องส่งผลดีต่อธุรกิจอาหาร การบริการ การขนส่ง การท่องเที่ยว และการโทรคมนาคม ทั้งนี้ กลุ่มธนาคาร และธุรกิจการเงินยังได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม การเร่งปรับตัวให้ทันต่อการกลับมาของธุรกิจทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งกว่ายอดขาย ส่วนหนึ่งจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ และสินค้าโภคภัณฑ์ ส่งผลให้ บจ. มีอัตรากำไรลดลง" 

ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ไตรมาส 1/2566 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 52,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% ต้นทุนการผลิต 40,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% มีกำไรจากการดำเนินงาน 3,293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.3% และมีกำไรสุทธิ 2,153 ล้านบาท ลดลง 32.4%

นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บจ.ใน mai จำนวน 198 บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 206 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน ไตรมาส 1/2566 พบ บจ. รายงานกำไรสุทธิจำนวน 142 บริษัท คิดเป็น 72% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 ของ บจ. mai เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 52,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% ต้นทุน ขาย 40,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เนื่องจาก บจ. สามารถควบคุมต้นทุนได้ดี ทำให้กำไรจากการดำเนินอยู่ที่ 3,293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10%

ขณะที่มีกำไรสุทธิรวม 2,153 ล้านบาท ลดลง 32% เนื่องจากในไตรมาส 1/2565 บจ. มีฐานสูงจากการขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 และมี บจ. ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมมีกำไรจากรายการพิเศษมูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท ทั้งนี้ หากตัดรายการพิเศษของทุกบริษัทออก กำไรสุทธิรวมเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น 34%

"ไตรมาส 1/2566 บจ. ส่วนใหญ่มียอดขายเติบโตตามการฟื้นตัวภายในประเทศภายหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย นอกจากนี้ บจ. ใน mai สามารถควบคุมสัดส่วนต้นทุน และค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหารต่อยอดขายได้ดี ทำให้อัตราการทำกำไรของ บจ. เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังคงเติบโตทั้งยอดขาย กำไรจากการดำเนินงาน และกำไรสุทธิ ได้แก่ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มเทคโนโลยี" 

ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 324,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และโครงสร้างเงินทุนรวมดีขึ้น โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.78 เท่า ลดลงจากเมื่อสิ้นปี 2565 ที่เท่ากับ 0.82 เท่า

ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 206 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2566) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 484.95 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 479,383 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 2,973 ล้านบาทต่อวัน 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์