หวั่นหุ้นกู้ ‘STARK’ ครอสดีฟอลต์ ฉุดราคาหุ้นร่วงหนักกว่า 90%

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บมจ. สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) วานนี้ (1 มิ.ย.)ที่กลับมาเปิดซื้อขายวันแรก ราคาดิ่งหนักทันทีช่วงเปิดตลาด  89.49% หรือ 2.10 บาท  หลังจากถูก SP เพราะไม่สามารถส่งงบการเงินประจำปี 2565ได้ทันตามกำหนด โดยระหว่างวันราคาหุ้นปรับตัวลงไปต่ำสุดของวันที่  0.13 บาท ก่อนจะมาปิดตลาดที่ 0.16 บาท  ลดลง 2.22 บาท หรือ 93.28%  

โดยเป็นผลจากความกังวลหุ้นกู้ 2 รุ่น  คือ STARK239A มูลค่า และ STARK249A  มูลค่า รวม 2,241 ล้านบาท ที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ไม่อนุมัติยกเว้นเหตุ ผิดนัดจากการส่งผลการเงินปี 2565 ล่าช้า และผู้ถือหุ้นกู้มีมติเรียกให้หนี้เงินต้น และดอกเบี้ยทั้งหมดถึงกำหนดชำระโดยพลัน (Call Default) ซึ่งผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ (ธนาคารกสิกรไทย)จะต้องส่งหนังสือแจ้งมายัง STARK  ให้ชำระหนี้เงินตามหุ้นกู้ทั้งหมดซึ่งยังไม่ถึงกำหนดชำระ ภายใน 5 วันทำการ นับแต่วันที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้มีมติดังกล่าว

ทั้งนี้ โดยจะกำหนดให้ STARK ชำระหนี้เงินต้นคงค้างทั้งหมดภายใต้หุ้นกู้พร้อมดอกเบี้ยภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทำหนังสือเรียกให้ชำระหนี้โดยพลันถึงบริษัท และจากการผิดนัดชำระหุ้นกู้ 2 รุ่นดังกล่าว ส่งผลให้หุ้นกู้ของ STARK ที่เหลืออีก 3 รุ่น STARK245A, STARK255A ,และ STARK242A  ซึ่งมีเงินต้นค้างชำระรวมจำนวน  6,957.40 ล้านบาท เกิดการผิดนัดไขว้ (cross default) หากSTARKไม่สามารถชำระหนี้หุ้นกู้ทั้ง 2 รุ่นดังกล่าวได้ตามระยะเวลาที่กำหนดภายใน 30 วัน

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า  ต้องติดตามว่าSTARK จะชำระหนี้หุ้นกู้ 2 รุ่นดังกล่าว ที่ถูกCall Default ได้ตามระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ ซึ่งหากไม่สามารถชำระหนี้หุ้นกู้ STARK 2 รุ่น ได้ ก็จะทำให้หุ้นกู้อีก3 รุ่นที่เหลือผิดนัดชำระหนี้ตามไปด้วย ถ้าหุ้นกู้ STARK ผิดนัดชำระหนี้ครบทั้ง 5 รุ่น จะมีมูลค่าผิดนัดชำระหนี้ 9,198.40 ล้านบาท  ถือเป็นมูลค่าที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ (ไม่รับรวมหุ้นกู้ THAI)   

ทั้งนี้ในตลาดหุ้นกู้ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้มีกรณีที่ EARTH  ผิดนัดชำระหนี้  จากเกิดปัญหาในการแต่งบัญชีงบการเงิน และธรรมาภิบาล แต่หลังจากนั้นก็มีบทเรียนทำให้มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้  มองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นรอบนี้  ผู้แทนผู้ถือกู้ (ธนาคารกสิกรไทย) คงต้องมีบทบาททำหน้าที่แทนผู้ถือหุ้นกู้อย่างจริงจังในการติดตามเงินให้กับผู้ลงทุน เพราะที่ผ่านมาการให้ข้อมูลต่างๆ ของSTARK ยังไม่มีความชัดเจน 

โดยเฉพาะงบการเงิน ทำให้ผู้ลงทุนอาจจะเห็นว่ามีโอกาสที่จะไม่ได้เงิน ก็คงเป็นอีกบทเรียนที่หน่วยงานกำกับดูแลต้องเข้ามา ยังมีช่องโหว่ตรงไหนทำให้เกิดปัญหา เพราะกรณีนี้เป็นหุ้นกู้ระดับลงทุน(investment Grade ) 

อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นกู้คงจะต้องรอความชัดเจนการส่งงบการเงินของ STARK เพื่อประกอบการพิจารณาก่อนตัดสินใจต่อไป หลังจากที่ วานนี้ STARK แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บริษัทอยู่ในระหว่างการเตรียมแผนธุรกิจทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ตลอดจนแผนธุรกิจสำรอง เพื่อรองรับผลประกอบการตามงบการเงินประจำปี 2565 ที่จะเปิดเผยภายในวันที่ 16 มิ.ย. 2566 และบริษัทจะรวมการดำเนินการใดๆ ในส่วนของหุ้นกู้ในแผนธุรกิจและแผนสำรองดังกล่าว และเปิดเผยแนวทางในการดำเนินการของบริษัทเพิ่ม  

“ตอนนี้ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่า มีหนี้สิน และทรัพย์สินเหลือจริงๆ เท่าไร คงต้องรอติดตามการส่งงบการเงิน 16 มิ.ย. นี้ ก่อน ถ้าออกได้ก็แสดงถึงความจริงใจ ต่อผู้ลงทุน ถึงงบจะขาดทุนก็มาว่ากันต่อไป อย่างน้อยก็มีข้อมูลตัดสินใจ”

นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย กล่าวว่า หุ้นSTARK ยังขาดปัจจัยพื้นฐานรองรับหลังจาก ตลท.ปลดเครื่องหมาย SP ในวันที่ 1 มิ.ย.2566 เพื่อเปิดเทรดเป็นระยะเวลา 1 เดือน ในระหว่างวันที่ 1-30 มิ.ย. 2566 หลังจากนี้ตลาดจะขึ้นเครื่องหมาย SP อีกรอบในวันที่ 1 ก.ค.2566 หาก STARK ไม่สามารถไขเหตุแห่งการเพิกถอน โดยส่งงบการเงินปี 2565, รายงานประจำปี2556-1 และงบไตรมาส1ปี 2566 เพื่อให้กลับมาเทรดได้ แต่ถ้าไม่ทัน 6 เดือน (ถึงสิ้นเดือนส.ค.) จะเข้าเกณฑ์เพิกถอนต่อไป

นอกจากนี้ต้องตามเรื่องของการที่เกิด Technical default และ Cross default ในกรณีของหุ้นกู้ และเจ้าหนี้อื่นๆ ว่าจะสามารถขอให้เจ้าหนี้ระงับการใช้สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้โดยพลันภายใน 30 วัน ซึ่งหากไม่สำเร็จก็อาจต้องเข้าสู่การฟื้นฟูกิจการต่อไป

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์