'3กูรู' แนะธีมลงทุนช่วงตลาด 'ผันผวน' เน้นหุ้นปัจจัยบวกเฉพาะตัว
“3กูรู” แนะธีมลงทุนช่วงหุ้นไทยผันผวน เน้นกลุ่มมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว รอความชัดเจนรัฐบาลใหม่ช่วงเดือนส.ค. นี้ “ดร.นิเวศน์” ชี้ หากนโยบายหนุนราคา “หุ้นพุ่ง”
อีก 2 เดือน !! คาดประเทศไทยกำลังจะมีรัฐบาลใหม่ และหนึ่งในตัวชี้วัดแรกๆ ว่าทิศทางของเศรษฐกิจไทยจะไปทางไหน คงต้องยกให้ “ตลาดเงิน-ตลาดทุน” ที่ปัจจุบันมีบทบาทสำคัญสามารถทำนายอนาคตของเศรษฐกิจไทยล่วงหน้าได้จะไปทางไหน...
จากเดิมผลการเลือกตั้งอาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมาก แต่ในระยะหลังๆ ผลการเลือกตั้งเข้ามามีบทบาทต่อการกำหนดทิศทางการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น หากนโยบายหนุนเศรษฐกิจและตลาดทุน “หุ้นขึ้น” แต่ถ้า “หุ้นลง” ก็เป็นตรงกันข้าม
“ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” นักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ (value investor) กล่าวในงาน Wealth OF Wisdom : WOW#2 ภายใต้หัวข้อ “กลยุทธ์ลงทุนหุ้นระยะยาว หลังรัฐบาลชุดใหม่” ว่า หลังผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ! ถือว่าผลการเลือกตั้งค่อนข้าง “เซอร์ไพรส์” ตลาดทุนมาก สะท้อนผ่านตลาดหุ้นไทยเปิดซื้อขายหลังเลือก ตั้งเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2566 ดัชนี “ร่วงแรง” ทันทีที่เปิดตลาด ซึ่งปกติตามสถิติที่ผ่านมา นักลงทุนมักจะบอกว่าตลาดหุ้นไทยมักจะปรับตัวขึ้น ทั้งก่อนการเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งประมาณ 3-6 เดือน
อย่างไรก็ตาม ยังเป็นแค่การเริ่มต้นยังไม่ได้เข้ามาปฏิบัติจริง อนาคตอีก 2-3 เดือนข้างหน้า เมื่อตั้งรัฐบาลเสร็จ หรืออีก 1-2 ปีข้างหน้า ก็จะรู้ว่านโยบายหรือการปฏิบัติจะเป็นอย่างไร และจะตอบสนองต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศแค่ไหน ดังนั้น หากนโยบายดีตลาดหุ้นขึ้น นักลงทุนก็สามารถใช้กลยุทธ์ลงทุนระยะยาวได้
โดยสัญญาณจากดัชนีตลาดหุ้นไทยก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่จะทำนั้นจะมี “ผลบวก” หรือ “เป็นลบ” ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวแค่ไหน อย่าคิดว่าตลาดหุ้นนั้นเป็นเสียงของคนส่วนน้อย เพราะนี่เป็นเสียงของคนที่เป็นหรืออยู่ในศูนย์กลางของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่สามารถทำนายได้ว่าอนาคตของเศรษฐกิจไทยจะไปทางไหน ถ้าหุ้นขึ้นก็มักจะแปลว่านโยบายหรือสถานการณ์ไปถูกทาง ถ้าหุ้นลงก็เป็นตรงกันข้าม ซึ่งตลาดหุ้นจะชอบความเป็นทุนนิยมเสรีมากกว่า
ทั้งนี้ หากดูดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 1,515 จุด เทียบกับดัชนีเมื่อสิ้นเดือนพ.ค. 2556 หรือเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ 1,562 จุด ก็แสดงว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นไม่ได้ปรับขึ้นเลย ถือว่าเป็น “Lost Decade” หรือ “ทศวรรษที่หายไป”
แต่หากย้อนดูการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมาจาก “รัฐบาลที่มาจากทหาร” ของ “พลเอกเปรม ติณสูลานนท์” มาเป็นรัฐบาล “ชาติชาย ชุณหะวัณ” ในปี 2531 จนถึงปี 2534 นั้น นายกชาติชายได้ประกาศ “แนวทางใหม่” ของประเทศ จากการที่เคยสู้รบกับเพื่อนบ้านมาเป็น “ทำสนามรบให้เป็นสนามการค้า”
คือค้าขายกับเพื่อนบ้าน และเปลี่ยนนโยบายประเทศมาเป็นแบบ “ทุนนิยมเสรี” เต็มที่ ส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนและที่เป็น “มิตรกับนักธุรกิจ” ว่าที่จริงคณะรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำพรรคการเมืองนั้นต่างก็มาจากนักธุรกิจหรือเป็นคนที่มีนักธุรกิจสนับสนุนในการเลือกตั้งจำนวนมาก
ผลก็คือ ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นอย่าง “ร้อนแรง” ช่วงหนึ่ง และเคยปรับจากประมาณ 320 จุด เป็นกว่า 1,100 จุด หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 250% ในเวลาเพียง 2.5 ปี คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละถึง 65% และนี่ก็น่าจะเป็นผลจากนโยบายใหม่ของรัฐบาลที่ “Pro Business” หรือสนับสนุนธุรกิจเอกชนและเปิดตลาดเสรีมากขึ้น
** ‘2 กูรู’ แนะกลยุทธ์ ‘เก็งกำไรหุ้น’
“มานิตย์ ศรายุทธิกรณ์” นักลงทุน Full Time Trader และ เจ้าของเพจ Bert Manit แนะวิธีการลงทุนในช่วงตลาดผันผวน ว่า ทิศทางดัชนีหุ้นไทย คาดว่าจะตกอยู่ในภาวะ “ผันผวน” ไปอีกไม่ต่ำกว่า 2 เดือน หรือจนกว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องของหน้าตารัฐบาลใหม่ คาดว่าจะประมาณเดือนส.ค.2566 ซึ่งช่วงระหว่างทางตลาดหุ้นไทยจะมีลักษณะกระโดดขึ้นกระโดดลงตามกระแสข่าวต่างๆ ที่ออกมา เพื่อรอความชัดเจน
โดยปัจจุบันตนเองจัดพอร์ตลงทุนแบ่งเป็น “หุ้นเก็งกำไร” สัดส่วน 80% ลักษณะการลงทุนจะเล่นรอบๆ ไม่เน้นถือยาว โดยระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ถึงไม่เกิน 3 เดือน ส่วนสัดส่วนพอร์ตลงทุนอีก 20% จะเน้น “ลงทุนระยะยาวในหุ้นพื้นฐาน”
โดย “กลยุทธ์ลงทุน” แบ่งการลงทุนออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1.ลงทุนในหุ้น SET100 ซึ่งเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี สภาพคล่องสูง หุ้นกลุ่มนี้ก็จะเทรดเก็งกำไร โดยจะเลือกดูหุ้นที่มีวอลุ่มเข้ามาหนาแน่น และดูทิศทางมีข่าวอะไรมาช่วยหนุน ซึ่งพอร์ตลงทุนนี้จะเทรดเพื่อเก็บกำไรราว 10-20% และ 2.ลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก วิธีเลือกลงทุนจะดูทิศทางข่าวของบริษัทที่อาจจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงทิศทางของธุรกิจและมีธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาเสริมดีไหมเป็นเทรนด์ของโลก หรือธุรกิจมีการเติบโตที่ดี ทั้งรายได้-กำไร
ดังนั้น มองว่าสำหรับธีมการลงทุนระยะนี้ นักลงทุนก็จะย้ายไปเล่นในกลุ่มหุ้นที่มี “ปัจจัยบวกเฉพาะตัว” ซึ่งนักลงทุนก็จะไปดูในพื้นฐานของหุ้นเป็นรายตัว โดยหุ้นตัวไหนมีพื้นฐานดี ผลประกอบการดีมีทิศทางเติบโตดี ก็เป็นตัวเลือกในการลงทุน เช่น หุ้นกลุ่มเครื่องดื่ม , กลุ่มธนาคาร เป็นต้น
“วนนท์ วรรณป้าน” และ “มานิตย์ ศรายุทธิกรณ์”
“วนนท์ วรรณป้าน” นักลงทุนสไตล์ลงทุนแบบ Fulltime Trader บอกว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยยังต้องรอดูความชัดเจนของรัฐบาลใหม่ ซึ่งลักษณะดัชนีหุ้นไทยยังผันผวนไปจนกว่าจะมีความชัดเจน ดังนั้น ส่วนตัวรูปแบบและลักษณะการลงทุนจะเล่นรอบสั้นๆ ระยะเวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์
หากดูกลยุทธ์การลงทุนจะดูตามสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งที่ผ่านมาจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ 1.ธีมการลงทุนใกล้เลือกตั้ง จะเน้นดูหุ้นที่เกี่ยวข้องและได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้งเป็นหลัก 2.ธีมคาดคะเนผลการเลือกตั้ง ใครจะได้เป็นคนจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเราก็จะดูว่าหุ้นตัวไหนที่ควรจะจบรอบและหุ้นตัวไหนที่ควรจะเข้าเก็งกำไร
และธีมที่กำลังอยู่ในปัจจุบัน 3.ธีมการชั่งน้ำหนักการลงทุน ซึ่งจะต้องมาดูว่าเมื่อรู้ผลใครจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเป็นใครแล้ว ดังนั้น ทิศทางการลงทุนจะเป็นยังไง ซึ่งมองว่าธีมการลงทุนปัจจุบัน “ยาก” กว่าธีมการลงทุนแบบ 1 และ ธีม 2 อีก
เนื่องจากตอนนี้ความชัดเจนยังน้อยมาก และอีกอย่างเป็นครั้งแรกในตลาดหุ้นไทย หรือ สังคมไทย ที่มีกลุ่มที่ไม่นิยมนโยบายหลักเป็นทุนนิยมเสรี แต่นโยบายจะกระจายไปสู่สังคม ซึ่งปัจจุบันกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่เป็นกลุ่มหุ้นที่ค่อนข้างที่จะเอื้อไปทางทุนนิยม ซึ่งเมื่อคนที่จะมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมีนโยบายลักษณะดังกล่าวก็จะทำให้โครงสร้างหลักตลาดหุ้นเปลี่ยนไป