STARK ฉุดเชื่อมั่นตลาดทุน จี้ ‘สภาวิชาชีพบัญชี’ เร่งอุดช่องทุจริต

STARK ฉุดเชื่อมั่นตลาดทุน  จี้ ‘สภาวิชาชีพบัญชี’ เร่งอุดช่องทุจริต

หุ้นSTARK เขย่าวงการตลาดทุนไทย โบรกเกอร์ ชี้กระทบเชื่อมั่นนักลงทุน ความเสียหายสูงร่วมหมื่นล้าน ห่วงลามกระทบ “หุ้น-หุ้นกู้” บริษัทขนาดเล็ก เหตุนักลงทุนเริ่มขยาด จี้ “สภาวิชาชีพบัญชี” เร่งวางมาตรการป้องกันทุจริต ตลท. เตรียมประกาศดำเนินการหุ้นSTARKเช้าวันนี้

รายงานงบการเงินของ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ซึ่งเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2566 น่าจะเขย่าวงการตลาดทุนไทยไม่น้อย เพราะความเห็นของผู้สอบบัญชีชี้ชัดว่า STARK เกิดการทุจริตครั้งใหญ่ ปั้นเรื่องแต่งบัญชีหลอกกินเงินนักลงทุน คำถาม คือ กรณีที่เกิดขึ้นนี้จะมีผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนมากน้อยแค่ไหน

วันนี้ตลท.ประกาศดำเนินการต่อSTARK

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ช่วงเช้าของวันนี้ (19มิ.ย.) ตลท.จะมีประกาศที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการกับ STARK หลังจากที่ STARK ได้ส่งงบการเงินปี 2565 เป็นที่เรียบร้อย โดยมีส่วนผู้ถือหุ้นติดลบ ดังนั้นขอให้นักลงทุนติดตามข้อมูลดังกล่าว

เร่งสร้างความเชื่อมั่นกลับมา

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ กล่าวว่า กรณี STARK ย่อมกระทบกับความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทย เพราะเป็นอะไรที่มีความผิดปกติเกิดขึ้น แต่จริงๆแล้วในระบบตลาดทุนก็มีกระบวนการตรวจสอบที่ค่อนข้างเข้มงวดอยู่ และมีการแบ่งหน้าที่แต่ละหน่วยงานในการตรวจสอบกันอยู่แล้ว

ทั้งนี้เมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ก็ถือว่าเป็นบทเรียน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเข้าไปดูว่ากระบวนการที่มีอยู่เพียงพอไหม ซึ่งส่วนตัวมองกระบวนการที่มีอยู่เพียง แต่ระดับความเข้มข้นของแต่ละองค์ประกอบในกระบวนการตรวจสอบนั้นได้ทำหน้าได้เต็มประสิทธิภาพแล้วหรือยัง ซึ่งต้องเข้าไปตรวจสอบ

 

ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวในตลาดทุนต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นว่างบการเงินที่ บจ.แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ แต่ถ้านักลงทุนยังไม่เชื่อมั่นหรือเชื่อใจก็คงต้องมีมาตรการออกมา เพื่อทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นมากขึ้น โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องหาคำตอบ เพราะวันนี้ข้อมูลที่นักลงทุนต้องเพิ่มเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจการลงทุน คืองบการเงินที่ถูกต้องและเชื่อถือได้

“ส่วนที่ผ่านมาเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไรก็ต้องเร่งอธิบาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งและประเมินกันต่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีข้อผิดพลาดตรงไหน ทำไมถึงปล่อยตัวเลขที่ผิดหรือบิดเบือนออกมาได้ ซึ่งตรงนี้ก็จะต้องเร่งความมั่นใจว่ากระบวนการที่มีอยู่ยังใช้ได้อยู่หรือไม่ ซึ่งหากใช้ได้อยู่ แต่มีใครใช้ช่องว่างตรงไหน ก็ควรรีบแก้ไข เพื่อเรียกความเชื่อมั่น”

สำหรับนักวิเคราะห์ นักลงทุนบุคคล นักลงทุนรายใหญ่ และนักลงทุนสถาบัน (กองทุน) ต่างใช้งบการเงินหรือข่าวสารที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเชื่อว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือนั้น ซึ่งจริงๆก็เป็นแบบนั้น มาประกอบการวิเคราะห์ข้อมูลในการแนะนำการลงทุน และนักลงทุนใช้ข้อมูลดังกล่าวประกอบการตัดสินใจลงทุนเช่นกัน ส่วนกรณีมีการบิดเบือนตัวเลขหรือแต่งงบมาสวยนั้นนักวิเคราะห์หรือนักลงทุนไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้

สะเทือนความเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทย

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า งบการเงินของ STARK มีการแก้ไขและผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นในงบนั้น คาดว่ายังมีโอกาสที่งบการเงินอาจคลาดเคลื่อนได้อีก ซึ่งความผิดปกติของ STARK ที่เกิดขึ้นหลักมาจากการสร้างยอดขายเทียม และการโอนเงินออกไปยังบริษัทลูกทำให้ฐานะทางการเงินอ่อนแอลง และใช้เงินเพิ่มทุนผิดวัตถุประสงค์

ทั้งนี้ปัญหางบการเงินของ STARK มองว่าจะกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนและตลาดหุ้นไทย เพราะมูลค่าความเสียหายค่อนข้างสูง  จากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของ STARK ลดลงจาก 5.6 หมื่นล้านบาท ณ ปลายปี 2565 เหลือเพียง 1,072 ล้านบาท ในปัจจุบัน สะท้อนความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนักลงทุนรายย่อยและกองทุนมาก

อย่างไรก็ตามเราประเมินผลกระทบหุ้น STARK ต่อตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ น่าจะส่งผลกระทบคงไม่มาก เพราะนักลงทุนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้น STARK มากแล้ว และหุ้น STARK ก็เปิดซื้อขายมาระยะหนึ่งแล้วเช่นกัน จึงแนะนำว่าหลังจากนี้ให้นักลงทุนศึกษาข้อมูลอ่านงบการเงินมากๆ และไม่ควรเข้าไปยุ่งกับหุ้นเก็งกำไรมากเกินไป

นักลงทุนขยาด“หุ้น-หุ้นกู้”ขนาดกลาง-เล็ก

แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์ กล่าวว่า กรณี STARK เชื่อว่าจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนในการลงทุนหุ้นและหุ้นกู้ของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก แม้ว่าบริษัทดังกล่าวจะปฏิบัติตามเกณฑ์ถูกต้อง เนื่องจากนักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจว่าทำงบการเงินถูกต้องหรือไม่ เพราะงบการเงินปี 2564 ของ STARK ผ่านการตรวจสอบของผู้สอบบัญชีมาแล้วและแจ้งงบการเงินต่อ ตลท.แล้ว ยังแก้ไขงบใหม่

นอกจากนี้จะกระทบการระดมทุนในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่จะระดมทุนยากขึ้นเพราะนักลงทุนไม่กล้าซื้อ โดยกรณี STARK ภาพทุกอย่างดูดีงบการเงิน ทิศทางการดำเนินธุรกิจ ได้รับเครดิตเรทติ้งระดับ Investment grade แต่สุดท้ายพบการจัดทำงบการเงินผิดปกติหลายเรื่องจนต้องแก้ไขงบปี 2564 ใหม่ 

แนะทำใจธุรกิจจบแล้วต้องฟื้นฟูกิจการ

แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์ กล่าวว่า นักลงทุนที่ยังถือหุ้นและผู้ถือหุ้นกู้ของ STARK ต้องทำใจ เพราะธุรกิจของ STARK จากนี้ถือว่าจบแล้ว หลังจากนี้บริษัทคงต้องฟื้นฟูกิจการจากส่วนผู้ถือหุ้นติดลบ ซึ่งต้องใช้เวลานานในการแก้ปัญหา และยังมีหนี้จำนวนมากโดยไม่รู้ว่าจะนำเงินไหนมาจ่ายคืนเจ้าหนี้ เพราะมีการโอนเงินออกจากบริษัทไประดับหมื่นล้านบาท และหากขายทรัพย์สินก็ไม่พอจ่ายหนี้

“กรณี STARK ต้องยอมรับว่าคนที่วางเกมไว้โหดและน่ากลัวมากที่ทำให้คนเชื่อทั้งประเทศ ทั้งนักลงทุนบุคคลที่รู้ไม่มาก จนถึงฟันด์แมเนเนอร์ที่มีความรู้ยังเชื่อ เขาวางภาพธุรกิจดีตั้งแต่ต้นและภาพทิศทางธุรกิจ ได้เข้าลงทุนธุรกิจอีวีที่เป็นเทรนด์โลก และงบการเงินก็ดี"

ทั้งนี้ กรณี STARK ถือเป็นโจทย์ของ"สภาวิชาชีพบัญชีฯ" เช่นกันว่าจะทำอยางไรเพื่อป้องกันไม่ให้กรณีแบบนี้อีก จุดสำคัญคือนักลงทุนเชื่องบการเงิน STARK นักลงทุนดูงบอย่างไรก็ไม่เห็นว่างบการเงินผิดปกติ แต่กรณี STARK ถือว่ายากจริงๆ และ STARK เปลี่ยนผู้สอบบัญชีช่วงกลางปี ทำให้อาจมีข้อมูลไม่เพียงพอในการตรวจสอบ จึงไม่เห็น

หุ้นเล็กส่อโดนขายหนักแนะเทรดหุ้นใหญ่

นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์ บล.ซีจีเอส ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยมีความเห็นว่า ปัญหาของ STARK เป็นการทุจริตในส่วนของลูกหนี้การค้าที่เป็นบริษัทลูก โดยปกติรายการทางบัญชีแบบนี้บริษัทจดทะเบียน อาจไม่แจ้งนักวิเคราะห์เพราะติดประเด็นความลับทางการค้า ดังนั้น ประเด็นนี้จึงตกอยู่ที่ความซื่อสัตย์ของบริษัทและผู้บริหาร

สำหรับผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้ มองว่า หุ้นของบริษัทขนาดเล็กที่มีกระแสเงินสดตึงตัว, วงจรเงินสดมีปัญหา, ระยะเวลาการเก็บหนี้นานเกินกว่าอุตสหกรรม  จะเผชิญแรงเทขายหุ้นออกมา จึงแนะนำนักลงทุนสลับเข้าหุ้นใหญ่ และ เป็นหุ้นที่นักลงทุนเห็นและเข้าถึงสินค้าและบริการได้ พร้อมกับหลีกเลี่ยงการลงทุนใน STARK เพราะบริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบแล้ว และ ประเด็นการฟ้องร้อง, หุ้นกู้อีกจำนวนมาก

นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ประเด็นสำคัญที่ผู้สอบบัญชีรายงานงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการปี 2565 ดังนี้ ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงิน เพราะมีหลายประเด็นที่ยังไม่สามารถหาหลักฐานการสอบบัญชีที่เหมาะสมเพียงพอได้ และความไม่แน่นอนที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินงานต่อเนื่อง ขณะเดียวกันความผิดปกติของรายการที่ตรวจพบ ได้แก่

1.การบันทึกยอดขายและลูกหนี้สูงเกินจริงโดยไม่ส่งสินค้าให้ลูกค้าจริง

2.มีการจ่ายเงินล่วงหน้าค่าสินค้าให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกันกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท แล้วนำเงินดังกล่าวโอนไปยังบริษัทที่เป็นลูกหนี้การค้าในต่างประเทศเพื่อชำระค่าขายสินค้าให้บริษัท 

3.รายการสินค้าคงเหลือไม่ถูกต้อง 4.การจัดทำ aging ของลูกหนี้ไม่ถูกต้อง 5.การจ่ายภาษีสำหรับรายการขายที่ไม่ได้มีการจัดส่งสินค้า 6.การบันทึกรายได้ และค่าใช้จ่ายจากการให้บริการของบริษัทลูกที่ทำธุรกิจจัดหาคนสูงเกินจริง

จับตาประชุมผู้ถือหุ้นกู้ 23 มิ.ย.

อย่างไรก็ตามความไม่แน่นอนที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินงานต่อเนื่อง ได้แก่ ส่วนของเจ้าของติดลบ 4,404 ล้านบาท หลังรับรู้ผลขาดทุน 6,651 ล้านบาท ในปี 2565 และกลับรายการปี 2564 เป็นขาดทุนสุทธิ 5,989 ล้านบาท ,หนี้สินหมุนเวียน 30,721 ล้านบาท สูงกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน 24,093 ล้านบาท อยู่ 6,628 ล้านบาท

ขณะที่บริษัทได้ใช้เงินสดจากการเพิ่มทุนจากบุคคลในวงจำกัด 5,580 ล้านบาท หมดไปแล้ว โดยใช้เงิน 4,071 ล้านบาทสำหรับเจ้าหนี้การค้าเพื่อซื้อวัตถุดิบและคืนหุ้นกู้ STARK23206A จำนวน 1,509 ล้านบาท และสถาบันการเงินได้ยกเลิกวงเงินเครดิตของกลุ่มกิจการในเดือน พ.ค.2566 และที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ STARK239A และ STARK249A ได้เรียกให้ชำระหนี้โดยพลันมูลค่า 2,241  ล้านบาท ทั้งนี้ STARK จะประชุมผู้ถือหุ้นกู้ดังกล่าววันที่ 23 มิ.ย.นี้ เพื่อขอเจรจาผ่อนผันกับเจ้าหนี้ดังกล่าว