SET Index ก้าวไกล
หลังการเลือกตั้ง คำถามที่นักกลยุทธ์การลงทุนจำเป็นต้องหาคำตอบเตรียมไว้ให้ทั้งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน หนีไม่พ้นเรื่องระดับเป้าหมาย SET Index สิ้นปี ปัจจุบันปรับตัวลดลงมาน่าสนใจแล้วหรือไม่ ความเสี่ยงต่อจากนี้คืออะไร และอุตสาหกรรมและหุ้นตัวไหนควรหลีกเลี่ยงหรือลงทุนในสถานการณ์การเมืองแบบต่างๆ
การจะรู้ให้ทันตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ ผมเชื่อว่านักลงทุนต้องประเมินให้ได้ว่าแนวโน้มไหนมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้จากนโยบายของผู้ชนะ และแนวโน้มไหนจะคงอยู่กับตลาดไม่ว่าการเมืองจะพัฒนาไปในทิศทางไหน
สิ่งที่ผมคาดว่าผลเลือกตั้งจะไม่สร้างความแตกต่างได้มาก คือเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของไทย
ไม่ว่าใครจะได้เป็นผู้นำรัฐบาล ก็คาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อจะเติบโตราว 3.2-3.7% และ 1.0-2.0% เมื่อเทียบกับปีก่อนตามลำดับ
เหตุผลหลักมาจากโครงสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปัจจุบันที่อิงภาคบริการและส่งออกมากกว่าในประเทศ เช่นเดียวกับเงินเฟ้อ แม้ระยะสั้นอาจอ่อนไหวไปตามนโยบายช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของภาครัฐ และระยะยาวทิศทางก็มักเคลื่อนไหวไปตามเศรษฐกิจและราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลก
ถ้าเศรษฐกิจโลกไม่กลับมาเติบโตแข็งแกร่งโอกาสจะเห็นการฟื้นตัวระยะสั้นที่สูงกว่านี้มากๆ ดูจะเป็นไปได้ยาก เช่นเดียวกับนโยบายการเงินที่ดอกเบี้ยจะสูงได้ไม่เกิน 2.50%
อย่างไรก็ดี สโลแกน “กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” อาจสะท้อนลงมาที่โอกาสและความเสี่ยงของตลาดทุนมากกว่า ไม่ใช่แค่เพราะผลเลือกตั้งทำให้พรรคการเมืองกลับข้าง แต่นโยบายหลายอย่างจะกระทบกับกำไรของบริษัทจดทพเบียนในวงกว้าง เช่น มาตรการลดค่าไฟฟ้ากับการเปลี่ยนหลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซ จะสร้างความผันผวนให้กับกลุ่มพลังงาน โรงไฟฟ้า ที่มีน้ำหนักถึง 20% ของ SET มาตรการค่าแรงขั้นต่ำที่อาจกระทบกลุ่มก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงภาคบริการอื่น ๆ หรือ นโยบายทลายทุนผูกขาด ที่แน่นอนว่ากลุ่มสื่อสารและกลุ่มค้าปลีกคงต้องร้อน ๆ หนาว ๆ
ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม จึงอาจนำไปสู่เป้าหมายดัชนี SET Index ทีไม่เหมือนเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยผมประเมินความเป็นไปได้ของตลาดหุ้นไทยและการลงทุนที่น่าสนใจในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 ออกเป็น 3 กรณี
(1) ก้าวไกล…ไม่ได้ก้าว หรือกรณีมีอุบัติเหตุทางการเมือง กรณีเสี่ยงที่แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นไม่มากแต่ต้องระวังคือความไม่แน่นอนทางการเมืองที่สูงขึ้น ทั้งการจัดตั้งรัฐบาล อาจมีอุบัติเหตุทางการเมือง เสี่ยงต่อความขัดแย้งบานปลาย นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาไม่ได้
ในกรณีนี้ ผมประเมินกำไรของ SET Index ในปีนี้อาจไม่เติบโตจากปีก่อนหรือทรงตัวที่ 89 บาท สิ่งที่จะกดดันตลาดคือความกังวลทั้งจากนักลงทุนในและต่างประเทศ ส่งผลให้ระดับ P/E ของ SET Index จะถูกลดระดับลง ถ้าเทียบกับช่วงที่ความมั่นใจต่ำหรือวิกฤติการเมืองครั้งก่อน ๆ แล้วจุดต่ำสุดคาดว่าจะอยู่ที่ P/E ราว 16 เท่า เป้าหมาย SET Index จะเหลือเพียง 1,400จุด ส่วนหุ้นแนะนำ จะเป็นกลุ่ม Stable Dividend เช่น ALLY BAREIT WHART เน้นเงินปันผล กระแสเงินสดแน่นอน เป็นหลุมหลบภัยท่ามกลางความไม่แน่นอน
(2) ก้าวไกล...ก้าวไปข้างหน้า(ก่อน) กรณีดีที่สุดคือไม่เลือกปรับโครงสร้างรายได้ทันที แต่เลือกกระตุ้นเศรษฐกิจก่อน ผมเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ถ้ารัฐบาลมีความแข็งแรง สามัคคี โอกาสอยู่ครบเทอมสูง กรณีนี้ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องผลักดันนโยบายการเมืองที่อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงกับภาคธุรกิจทันที
ในกรณีนี้ แม้รายได้ของ SET อาจขยายตัวเพียง 3.4% ไปที่ 92 บาท ซึ่งถือว่าไม่ได้สูงมาก แต่ด้วยความเชื่อมั่นที่มากขึ้น โอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้าลงทุนสูง คาดว่า P/E ของมีโอกาสทรงตัวหรือปรับขึ้นได้ถึง 19เท่า เป้าหมาย SET จึงจะขยับขึ้นได้ถึง 1,750 เป้นอย่างน้อย ในกรณีนี้ หุ้นแนะนำจะเป็น Domestic Play อาทิ CENTEL ADVANC BEM ที่ราคาหุ้นปรับฐานแรงจากความกังวลก่อนหน้า
อย่างไรก็ดี กรณีที่ผมมองว่าเป็นไปได้มากที่สุดคือ
(3) ก้าวไกล...ก้าวหน้า ก้าวหลัง
ทำนโยบายที่ทำได้ทันทีอย่างค่อยเป็นค่อยไป รายได้อาจไม่เติบโตทันที แต่ Multiple คาดว่าจะกลับมาที่ระดับเฉลี่ยของ SET Index ระยะยาวที่ 18 เท่าได้ ทำให้เป้าหมาย SET Index ขยับขึ้นได้ถึง 1,600 จุด โดยจะมีการลงทุนเด่นเป็นกลุ่ม Quality เช่น BBL BDMS BAM รายได้มั่นคง ปลอดภัยจากแรงกดดันนโยบายทางการเมือง