‘กลุ่ม CP’ ร่วงยกแผง DIF ร่วงหนัก 10% นักลงทุนหวั่น TRUE - DTAC ไม่ต่อสัญญา
หุ้นกลุ่ม CP ปรับตัวลงยกแผง DIF ลงหนักถึง 10% หลังนักลงทุนกังวลการต่อสัญญาเช่ากับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม DIF
หุ้นกลุ่ม CP ปรับตัวลงยกแผง DIF ลงหนักถึง 10% หลังนักลงทุนกังวลการต่อสัญญาเช่ากับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม DIF โดยปิดตลาดวันที่ 22 มิ.ย.2566
หุ้น CPALL ปิดที่ 62.00 บาท ลดลง 1.25 บาท หรือลดลง 1.98% ส่วน CPF ปิดที่ 20.30 บาท ลดลง 0.60 บาท หรือลดลง 2.87% และ TRUE ปิดที่ 6.00 บาท ลดลง 0.55 บาท หรือลดลง 8.40%
ขณะที่ DIF ที่เป็นผู้ให้เช่าสัญญา TRUE กับ DTAC ปิดที่ 10.80 บาท ลดลง 1.20 บาท หรือลดลง 10.00%
วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด FSS บริษัทในเครือ บล. ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยกับกรุงเทพธุรกิจว่า หุ้นในกลุ่ม CP ปรับตัวร่วงลงมาจากหลายสาเหตุ หากเป็นหุ้น CPF เป็นเรื่องของงบที่คาดว่าจะออกมาไม่ค่อยดี เนื่องจากราคาเนื้อสัตว์ไม่ดี
ส่วน CPALL กับ CPAXT (MAKRO) จะโดนในเรื่องของนักลงทุนต่างชาติที่ไหลออกไป บวกกับการฟื้นตัวของกลุ่มค้าปลีกยังคงไม่มั่นใจว่าในไตรมาส 2/66 จะต่ำกว่าที่ตลาดประเมินหรือไม่
ขณะที่ TRUE จะได้รับผลกระทบจาก กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม DIF ที่มีการปรับตัวลงมา โดยตลาดมองว่า ผลประกอบการของ TRUE เมื่อรวมกับ DTAC แล้วไตรมาส 1/66 ยังไม่เห็นภาพของการพลิกมีกำไรได้ ซึ่งถือว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการปรับโครงสร้าง
ขณะเดียวกันเริ่มมีนักวิเคราะห์มองว่า หาก TRUE ต้องการเสริมสภาพคล่องอาจจะมีการลดหนัก DIF โดยการขายออกมาเพิ่มอีก และเมื่อ TRUE และ DTAC รวมกันแล้ว สินทรัพย์ที่เช่ากับ DIF อาจจะต้องมีบางส่วนที่ต้องหยุดเช่าเพื่อลดความซ้ำซ้อน
กรรณ์ หทัยศรัทธา ผู้ช่วยผู้จัดการ บล.ซีจีเอสซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หุ้นในกลุ่ม CP ที่มีการปรับตัวลงมาในช่วงบ่าย มาจากสาเหตุหลังด้วยกัน 3 สาเหตุ
1. สิ้นปี 2566 กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม DIF จะครบกำหนดปีที่ 10 ของการได้รับการยกเว้นภาษี ทำให้ผู้ถือหน่วยหลังจากนี้จะต้องเสียภาษี 10% สำหรับเงินปันผล
2.สัญญาเช่าเสาของดีแทคกำลังจะหมด มี.ค.2567
3.โครงสร้างเงินกู้ของกองทุนเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว หากธนาคารแห่งประเทศไทยมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อตามนโยบายเฟดของสหรัฐ จะทำให้ต้นทุนทางการเงินนั้นสูงขึ้น
จึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนกังวล แต่ทั้งหมดเป็นความกังวลแค่ระยะกลาง เพราะเนื่องจากหากสัญญาหมดปี 2567 และไม่มีการต่อสัญญาก็จะไม่มีเรื่องของ Asset ใหม่