ดาวโจนส์ร่วงในกรอบแคบหลัง 'พาวเวล' ส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพุธ(28มิ.ย.)ร่วงลงในกรอบแคบ หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 74.08 จุด หรือ 0.22% ปิดที่ 33,852.66 จุด
- ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 1.55 จุด หรือ 0.04% ปิดที่ 4,376.86 จุด
- ดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 36.08 จุด หรือ 0.27% ปิดที่ 13,591.75 จุด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 74.08 จุด หรือ 0.22% ปิดที่ 33,852.66 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 1.55 จุด หรือ 0.04% ปิดที่ 4,376.86 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 36.08 จุด หรือ 0.27% ปิดที่ 13,591.75 จุด
หุ้นกลุ่มชิปร่วงลงในวันนี้ นำโดยหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) หลังจากที่หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานว่า สหรัฐเตรียมออกมาตรการใหม่ในการจำกัดการส่งออกชิปไปยังจีน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการอย่างเร็วที่สุดในเดือนก.ค.
นายพาวเวลส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ค.และก.ย.เพื่อสกัดเงินเฟ้อ และสกัดความร้อนแรงในตลาดแรงงาน
"ถ้าคุณดูข้อมูลในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา คุณจะพบการขยายตัวที่แข็งแกร่งกว่าคาด ตลาดแรงงานที่ตึงตัวกว่าคาด และเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาด สิ่งนี้บอกเราว่า แม้นโยบายที่เราใช้มีความเข้มงวด แต่ก็อาจจะยังเข้มงวดไม่เพียงพอ และยังใช้เวลานานไม่เพียงพอ"
"เราเชื่อว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหลายครั้ง โดยมีสาเหตุจากตลาดแรงงานที่มีความแข็งแกร่งอย่างมาก" นายพาวเวลกล่าวในการเสวนาว่าด้วยนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ซึ่งธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จัดขึ้นที่เมืองซินตรา ประเทศโปรตุเกส ในวันนี้
ต่อคำถามที่ว่า ต่อจากนี้ เฟดจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งเว้นครั้ง หลังจากที่ได้พักการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้หรือไม่ นายพาวเวลกล่าวว่า "สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้ แต่ผมไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งติดต่อกัน"
นอกจากนี้ นายพาวเวลระบุว่า เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้
ในการกล่าวถ้อยแถลงต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์ที่แล้ว นายพาวเวลกล่าวย้ำว่าเฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง สู่ระดับ 5.50-5.75% ภายในสิ้นปีนี้
นักลงทุนจับตาดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันศุกร์ โดยดัชนีดังกล่าวเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ ซึ่งสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)