เตรียมพร้อมตลาดหุ้น – บิ๊กแคป มองเปลี่ยนแกนนำรัฐบาล
วันที่ 19 - 20 ก.ค. เป็นอีกการเปลี่ยนแปลงสำหรับตลาดหุ้นไทย เพราะการปรับตัวขึ้นมาในช่วงก่อนการโหวตรอบ 2 เสมือนตลาดหุ้นได้เลือกทางไปแล้วว่า “พรรคเพื่อไทย” ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่ยังไม่ชัดเจนจะมีพรรคก้าวไกลอยู่ด้วยหรือไม่
ด้วยเงื่อนไขหลังการประชุม 8 พรรคแกนนำตั้งรัฐบาล มติเสนอชื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” จากพรรคก้าวไกลเป็นแคนดิเดตนายกฯ 19 ก.ค. นี้ แต่หากคะแนนโหวตไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเปิดทางให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล
หากแต่ยังไม่ง่าย และพลิกสถานการณ์ได้เปรียบทันที เพราะมีกระแสข่าวทั้งการเตรียมโหวตสู้เสนอรัฐบาลเสียงข้างน้อย และการดีลพรรคการเมืองอื่นมาเพิ่มคะแนนเสียงให้กับ 8 พรรค หรือประเด็นการถือหุ้นสื่อที่เป็นจุดหักเหสำคัญ
ดังนั้นตลาดหุ้นเตรียมพร้อมอย่างไร ต่อเลือกลงทุน และหุ้นที่น่าสนใจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ฟิลลิป (ประเทศไทย) มีมติขอ 8 พรรค แต่พรรคร่วมมีความกังวลว่าหากการโหวตรอบ 2 ไม่ผ่าน อาจทำให้ ส.ว.ร่วมกับฝ่ายเสียงข้างน้อยเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ แข่งขัน และมีโอกาสที่จะ "จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้แต่ไม่มีเสถียรภาพ"
เมื่อหลังการหารือที่ประชุม 8 พรรคร่วมฯ (17 ก.ค.) มีเงื่อนไขเสนอชื่อ “พิธา” รอบหากคะแนนไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจะถอยให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน ช่วงเวลาเดียวกัน 19 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคำร้องของ กกต.ในประเด็นปมถือหุ้น ITV โดยหาก มีการรับคำร้อง และมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จะเป็นอีกปัจจัยหนุนให้เพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
เฉพาะประเด็นนี้การเข้าใกล้ตำแหน่งผู้นำรัฐบาลของเพื่อไทย เป็นบวกต่อหุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่แข่งขันจำกัด ซึ่งได้ปรับตัวลงไปก่อนหน้านี้จากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายทลายทุนผูกขาดของก้าวไกล
บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) สัญญาณการเมืองที่อาจจะมีการเปลี่ยนสมการแต่เราเชื่อว่าโจทย์ยังอยู่ที่การรวมของ8 พรรคการเมืองเหมือนเดิมยกเว้นจะมี พรรคใดพรรคหนึ่งใน 8 พรรคถอดใจไปเป็นฝ่ายค้าน เสียก่อนถ้าเกิดในกรณีเชื่อว่าการลงถนนหรือชุมนุมประท้วงน่าจะไม่มีความชอบธรรมเท่าไร รวมถึงกว่าที่จะได้รัฐบาลเร็วที่สุดก็จะเป็นเดือนส.ค. และกว่าที่รัฐบาลใหม่จะแถลงนโยบายเสร็จ และเริ่มปฏิบัติหน้าที่อาจลากไปถึงเดือนก.ย.- ต.ค.
ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส รับโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมีมากขึ้น แม้ว่าตามมติประชุม 8 พรรคร่วม จะยังเสนอชื่อนายพิธาในการลงมติเลือกนายกฯ รอบที่ 2 ในวันที่ 19 ก.ค.เช่นเดิมและมีการทาบทามพรรคชาติไทยพัฒนา และประชาธิปัตย์ให้ลงคะแนนให้
หาก 2 พรรคตอบรับจะได้เสียงเพิ่มอีก 35 เสียงรวมกับคะแนนเสียงเดิม 324 เสียงเป็น 359 เสียงโดยยังต้องการเสียงสนับสนุนจากส.ว.เพิ่มอีก16 เสียง ให้ครบ 375 เสียงซึ่งยังมองว่า ค่อนข้างยาก รวมถึงการแก้ไขกฎหมายมาตรา 272 หากคะแนนโหวตไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ประมาณ10% จาก 324 เสียงให้เพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์การเมืองจะมีแนวโน้มยืดเยื้อ และกินเวลานานมากขึ้น แต่หากมองข้ามสถานการณ์ปัจจุบันและท้ายที่สุดสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยเป็นฝ่ายเพื่อไทยขึ้นผู้นำแทนตลาดหุ้นจะตอบรับเชิงบวกต่อเนื่องต่อนโยบาย ที่เอื้อต่อตลาดทุนมากขึ้น
รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในระยะสั้นอย่างเงินดิจิทัล1 หมื่นบาทต่อหัว ซึ่งเป็นบวกต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค และนักลงทุน
ด้าน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินท่าทีของพรรคก้าวไกลที่เปิดกว้างให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลมากขึ้นถือเป็นปัจจัยบวกต่อ SETINDEX ในแง่ ช่วยลดความเสี่ยงด้านการเมืองนอกสภาฯ สามารถลดแรงกดดันต่อหุ้นทุนขนาดใหญ่ และหนุนเงินทุนต่างชาติไหลเข้าจากความเชื่อมั่นนโยบายด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยเพราะฉะนั้นหุ้นทุนขนาดใหญ่ เช่น GULF - GPSC - BGRIM - PTT - AOT - CPALL - CRC - TRUE - ADVANC - THCOM
รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย เช่น SIRI - SC - PR9 เป็นต้น ยังมีโอกาสฟื้นตัวได้ต่อแต่ข่าวการเมืองยังพลิกได้ตลอดเวลาจึงยังต้องติดตามเงื่อนไขใหม่อย่างใกล้ชิดจนกว่าจะมีความชัดเจน
ขณะที่การเดินสายเพิ่มเสียงโหวตยังเดินหน้าทั้งจากส.ว.ที่งดออกเสียง และส.ส.ฝั่งตรงข้าม ซึ่งทุกพรรคจะร่วมมือกันเพื่อหาเสียงเพิ่มให้ได้มากที่สุด ด้วยโอกาสจัดตั้งรัฐบาลที่ของพรรคก้าวไกลที่ลดลง และโอกาสของพรรคเพื่อไทยที่เพิ่มขึ้นทำให้ SETINDEX ยังมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่องไปถึงช่วงก่อนเลือกตั้งในกรอบ1,540 - 1,570 จุด
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์