ESG จุดขายตลาดทุนไทย ตลท.ผุด ESG Data Platform เอื้อลงทุนหุ้นยั่งยืน
ปัจจุบันการลงทุนอย่างยั่งยืน มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐ สำหรับในประเทศไทยการลงทุนอย่างยั่งยืนเป็นที่สนใจเพิ่มขึ้นเช่นกัน เห็นได้จากการนำการดำเนินงานด้าน ESG ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)
ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บจ.ไทยทำธุรกิจอย่างยั่งยืนหรือ ESG (Environment, Social, Governance) ได้ดีมาก ซึ่งเป็น“จุดขาย”ของตลาดหุ้นไทยที่สะท้อนว่าตลาดหุ้นไทยมีความสามารถในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน
สะท้อนจากบจ.ไทยอยู่ในดัชนีความยั่งยืนมากที่สุดในอาเซียน และในระดับโลก ในฐานะผู้นำกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆถือเป็นการเติบโตอย่างเข้มแข็งและเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
จากดัชนี S&P Global ได้ประเมินความยั่งยืนบริษัททั่วโลก 7,822 บริษัท โดยมี 710 บริษัทที่ได้รับการประกาศในThe Sustainability Yearbook 2023 ในจำนวนนี้เป็นบจ.ไทยจำนวน 37 บริษัท ซึ่งมากเป็นอันดับ 5 ของโลก การประกาศยังแบ่งการจัดอันดับเป็น 4 ระดับ ได้แก่ Gold, Silver, Bronze และ Member โดยระดับ Gold Class มีบริษัทไทย 12 บริษัท รองมาคือ สหรัฐ 11 บริษัท ถัดมาคือ ไต้หวัน และอิตาลี 7 บริษัท
รวมทั้งบจ.ไทยถูกจัดอันดับใน FTSE4Good Index 42 บริษัท อยู่ใน MSCI 42 บริษัท และ ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) 26 บริษัท ทำให้ตลท.มุ่งส่งเสริมความยั่งยืนและการพัฒนาตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้าน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มทางเลือกในการระดมทุน เพิ่มความหลากหลายในการลงทุน และยึดหลัก “ความยั่งยืน”
โดยพัฒนาระบบฐานข้อมูล ESG บจ. ผ่าน ESG Data Platform ศูนย์กลางการส่งเสริมความรู้ด้านความยั่งยืนผ่านESG Academy ตระหนักถึง Climate Care Collaboration ความร่วมมือด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถวัดผลลัพธ์ได้
ทำให้ตลท.มีการปรับกระบวนการทำงานสู่ดิจิทัลแพลตฟอร์ม ซึ่งมีความจำเป็นอย่างมาก
สำหรับการนำเสนอข้อมูลด้าน ESG ทำข้อมูลให้ง่ายมุ่งสู่กระบวนการ end-to-end
จึงพัฒนา ESG Data platform ในการเปิดเผยข้อมูล ผ่าน SETSMARTเพื่อสนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลและเชื่อมต่อไปยังนักลงทุน เรตติ้งเอเจนซีให้ง่ายต่อการเข้าถึงสะดวกและสามารถนำไปใช้ในการประมวลผลต่อได้ทันที
ขณะนี้มีบจ. 658 บริษัท หรือคิดเป็น 74% ได้อนุมัติเผยแพร่ข้อมูลผ่าน ESG Data Platform และมีบจ.อีก343 บริษัท คิดเป็น 39% มีการเผยแพร่ข้อมูล Greenhouse Gas (GHG) โดยได้รับการทวนสอบแล้ว 185 บริษัท
การลงทุนอย่างยั่งยืนกำลังกลายเป็นกระแสหลักในการลงทุนในตลาดทุนโลกและตลาดทุนไทย สะท้อนจากกองทุนยั่งยืน หรือกองทุน ESG ที่เติบโตเพิ่มขึ้น 220% ในปี 2566 จาก 82 กองทุน เป็นมูลค่า 4.7 หมื่นล้านบาท จากปี2560 ที่มีเพียง 20 กองทุน
และบจ.ไทยในกลุ่ม ESG มีผลตอบแทนโดยเฉลี่ยสูงกว่าบริษัททั่วไป สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการลงทุนในบริษัทเหล่านี้เอาท์เฟอร์ฟอร์มมาตั้งแต่ปี 2559 แล้ว จากดัชนี DJSI EM ในเดือน ม.ค.2559 ถึง 25 ส.ค.2566 ให้ผลตอบแทน90.55% คิดเป็น 45.9%ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด เมื่อเทียบกับ SET100 ที่ให้ผลตอบแทน 50.79%
ปัจจุบันหุ้นยั่งยืน หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) 14 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 74% ของมาร์เก็ตแคปรวมของทั้ง SET และ mai (ณ 8 ส.ค.2566)
เป็นบจ.ใน SET 153 บริษัท และ mai 13 บริษัท กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีจำนวนบริษัทจดทะเบียนสูงสุด 3 อันดับแรกได้แก่ กลุ่มบริการ 33 บริษัท กลุ่มทรัพยากร 27 บริษัท และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง 27 บริษัท
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของตลท.ที่จะทำให้จุดแข็งด้าน ESG ของตลาดทุนไทยดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศอื่นๆ มีความพยายามสนับสนุนเรื่องนี้อย่างมาก ซึ่งถ้าเรายังอยู่กับที่ ในขณะที่โลกกำลังพัฒนาเรื่องนี้ให้ทันเรา ดังนั้นเราต้องปรับตัวตลอด
ในอดีตความยั่งยืนถูกตีความเป็น CSR แต่ปัจจุบันความยั่งยืนถือเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจที่กลายเป็น Risk Management ที่ต้องคำนึงถึง ซึ่งประกอบด้วย 3 เรื่องหลัก คือ ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม ความเสี่ยงด้านสังคม และ บรรษัทภิบาล (Corporate Governance: CG)
“ถ้าไม่มี 3 เรื่องนี้ บริษัทที่ไม่ให้ความสำคัญจะไม่สามารถทำธุรกิจในระยะยาวสู้บริษัทที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ได้ยิ่งไปกว่านั้น นักลงทุนและเรตติ้งเอเจนซีกลับให้ความสำคัญเรื่องข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลด้าน ESG เป็นอย่างมาก”