รัฐบาล 'เศรษฐา' เตรียมผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาด GDP ปีนี้โต 3%

รัฐบาล 'เศรษฐา' เตรียมผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาด GDP ปีนี้โต 3%

รัฐบาล 'เศรษฐา' เตรียมผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวเข้าสู่ช่วง HIGH SEASON คาด GDP ปีนี้โต 3% ปี 2566 ขณะที่ ปี 2567 โต 3.5%

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด หรือ ASPS ระบุผ่านบทวิเคราะห์ว่า วานนี้ (11 ก.ย.66) นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ใช้เวลารวมไปทั้งสิ้น 16 ชั่วโมง โดยนโยบายที่เป็น Highlight คือ การแจก Digital Wallet 10,000 บาท ที่ต้องใช้งบประมาณสูงถึง 5.6 แสนล้านบาท ซึ่งฝ่ายค้านทั้งพรรคก้าวไกล และพรรคประชาธิปัตย์ได้ทักท้วง ถึงประเด็นแหล่งที่มาของงบประมาณดังกล่าว รวมถึงนโยบายที่ไม่ตรงปกกับตอนหาเสียง อาทิ ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย, การปรับลดราคาน้ำมันดีเซล-ไฟฟ้า, การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทภายในปี 2570, เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท เป็นต้น

ทั้งนี้ ประเด็นแหล่งที่มาของงบประมาณ ฝ่ายวิจัยฯ มองว่า อาจมีคำถามอยู่บ้าง อาทิ ต้องปรับลดงบลงทุนภาครัฐ, ลดการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยจากภาระหนี้สาธารณะในปัจจุบัน รวมถึงปรับลดสวัสดิการที่ถูกมองว่าซ้ำซ้อน ส่วนอีกแนวทางหนึ่ง คือ การกู้เงิน ซึ่งจะกู้เพิ่มได้อีกราว 1.58 ล้านล้านบาท บนสมมุติฐาน หนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ระดับ 70% โดยหลักการแล้วไม่ควรกู้ จนเต็มเพดานหนี้เนื่องจากจะทำให้เสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยลดลง จากที่สถาบัน Rating ต่างๆอาจปรับลด Credit rating ของไทยได้ และมีส่วนให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าในระยะถัดไป ชะลอการไหลเข้าของ Flow ต่างชาติ

ขณะที่ในมุมของเศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวนับตั้งแต่ 2H66 เนื่องจากสมมุติฐาน GDP GROWTH ปีนี้ของฝ่ายวิจัยฯ +3%YOY ซึ่งใน 1Q66 +2.7%YOY และ 2Q66 +1.8%YOY ดังนั้น 2H66 ต้องโตเฉลี่ยไตรมาสละ 3.8%YOY ขณะที่ประเด็นขับเคลื่อนคือ ภาคการบริโภคในประเทศและภาคบริการในส่วนท่องเที่ยว ซึ่งเข้าสู่ช่วง HIGH SEASON ขณะที่ปัจจัยเสริม คือ การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งคาดจะเริ่มกระตุ้นในช่วง 1H67 เป็นต้นไป จึงทำให้สมมุติฐาน GDP GROWTH ปีหน้ามีโอกาสอยู่ที่ 3.5% ตามเดิม

 

รัฐบาล \'เศรษฐา\' เตรียมผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาด GDP ปีนี้โต 3%

 

อย่างไรก็ดี รัฐบาลชุดใหม่ เตรียมผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนให้เศรษฐกิจตั้งแต่ 2H66 เติบโตเป็นขั้นบันได โดยฝ่ายวิจัยฯยังคงประมาณการ GDP Growth ปี 2566 2567 โต 3% และ 3.5% ตามลำดับ ขณะที่ความเสี่ยง คือการกู้เงินเพิ่ม ซึ่งอาจทำให้เสถียรภาพทางการเงินของบ้านเราลดลงได้

นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยฯ ทำการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของ SET Index ตั้งแต่วันที่ได้นายกฯ คนใหม่ 22 ก.ค. 66 ถึง ปัจจุบัน 11 ก.ย. 66 พบว่า SET Index เคยขึ้นไปถึง 3.3% แต่ปัจจุบันย่อตัวลงมาเหลือผลตอบแทน 1% จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม จากการเริ่มต้นเดินเครื่องทางเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ในระยะกลางถึงยาวน่าจะคาดว่าการผลักดันให้ตัวเลขเศรษฐกิจ และกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตมากขึ้นได้ รวมถึง Fund Flow ต่างชาติอาจจะไหลกลับสนับสนุนอีกครั้ง

และหากวิเคราะห์ผลตอบแทนสะสมออกเป็นราย Sector พอจะแบ่งแยกกลุ่มหุ้นที่ Outpeform และ Underperform SET Index ที่ +1% ได้ดังนี้

1.กลุ่มหุ้นที่อิงกับความคาดหวังเศรษฐกิจจีนฟื้น หลังรัฐบาลกลับมาเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ Outperform ตลาดมาก อาทิ AGRI +9.6%,STEEL+7.3%, PKG+6.8%, AUTO +5.0%, FIN +4.7%, CONS +4.6%, ETRON +3.4%

2.กลุ่มหุ้นอิงกระแสนโยบายภาครัฐ Outperform ตลาดรองลงมา อาทิ TOURISM +3.3%, FOOD +2.9%, COMM +2.8%, PROP +2.6%,MEDIA 2.6%, TRANS 1.3%

3.กลุ่มที่ Underperform ตลาดมากเกินไป สวนทางราคาน้ำมันโลกที่ขยับขึ้นอาทิ ENERG -2.2%, PETRO -5.4%

รัฐบาล \'เศรษฐา\' เตรียมผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาด GDP ปีนี้โต 3%

ทั้งนี้ พอแจกแจงผลตอบแทนสะสมออกมาเป็นราย Sector จะเห็นภาพชัดว่า SET Index ที่ย่อตัวลงมาหลักๆ เกิดจากการย่อตัวแรงของหุ้นกลุ่มปิโตรฯ และพลังงาน และเริ่มเห็นสัญญาณ RSI Oversold น่าจะเห็นการรีบาวน์กลับช่วงสั้นๆ ได้ ขณะที่หุ้นกลุ่มอิงกับเศรษฐกิจจีน และกลุ่มที่ได้กระแสนโยบายภาครัฐ น่าจะยังเป็นผู้นำในการพยุงตลาด ทำให้คาดหวังว่า SET Index ยังมี Upside มากกว่า Downside จากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น ประเมินกรอบการเคลื่อนไหววันนี้อยู่ที่ 1535 – 1550 จุด Toppick SCGP, AOT, BGRIM