TPL เปิดประมูลรถขนส่ง 4 ล้อ EV เพิ่ม เสริมอนาคต Green Logistics

TPL เปิดประมูลรถขนส่ง 4 ล้อ EV เพิ่ม เสริมอนาคต Green Logistics

‘TPL’ เดินหน้าเปิดประมูลรถบรรทุก EV มุ่งสู่การขนส่งด้วยระบบ Green logistics มีกำหนดยื่นเอกสารการเสนอราคา ระหว่างวันที่ 26 กันยายน – 2 ตุลาคม  2566 เวลา 09.00 - 17.00 น. ณ บริษัท ไทยพาร์เซิล จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่

บริษัท ไทยพาร์เซิล จำกัด (มหาชน) หรือ TPL ได้ประกาศโครงการเสนอราคาจัดซื้อรถบรรทุกไฟฟ้า 4 ล้อ หรือรถกระบะไฟฟ้าตอนเดียว จำนวน 19 คัน โดยมีกำหนดยื่นเอกสารการเสนอราคา ระหว่างวันที่ 26 กันยายน – 2 ตุลาคม  2566 เวลา 09.00 - 17.00 น. ณ บริษัท ไทยพาร์เซิล จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่

สำหรับการเปิดประมูลรถขนส่ง 4 ล้อ EV ในครั้งนี้นับเป็นการดำเนินการตามแผนการลงทุนในส่วนของรถขนส่ง EV อย่างต่อเนื่อง หลังจากเปิดประมูลรถขนส่ง 6 ล้อ EV ในเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา โดยบริษัท จะนำรถบรรทุกไฟฟ้าที่จะได้จากการเปิดประมูลในครั้งนี้ไปทดแทนรถน้ำมันที่ใช้อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคกลาง ในปัจจุบัน เพื่อเตรียมพร้อมในการก้าวเข้าสู่การขนส่งด้วยระบบ "Green Logistics" ที่จะช่วยลดมลภาวะในอากาศ และตอบโจทย์นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ESG) ของบริษัท โดยคาดว่าจะสามารถส่งมอบรถได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ 

TPL เปิดประมูลรถขนส่ง 4 ล้อ EV เพิ่ม เสริมอนาคต Green Logistics

ทั้งนี้ TPL ถือเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจโลจิสติกส์ของประเทศไทย สำหรับภาคธุรกิจ และบุคคลทั่วไป ด้วยจุดเด่นในการส่งสินค้าขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก หลากรูปทรง ถือเป็นผู้ให้บริการระดับ Niche ในตลาด Logistics ของประเทศไทย ภายใต้สโลแกน “ส่งหนัก ส่งใหญ่ ส่งทั่วไทย ใช้ TP Logistics” 

ขณะเดียวกัน บริษัทมีกลุ่มลูกค้ากระจายไปในกลุ่ม B2B, B2C และ C2C ในอัตราไล่เลี่ยกัน ซึ่งปัจจุบันบริษัทให้บริการจัดส่งสินค้า และสิ่งของประมาณ 350,000-600,000 ชิ้นต่อเดือน มีจุดให้บริการกว่า 120 แห่งทั่วประเทศ และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากสอดคล้องกับทิศทางของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของไทย

โดยในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15-20% จากปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 480.75 ล้านบาท เติบโตกว่าอุตสาหกรรม เนื่องจากการขนส่งของบริษัทมีความเป็น Niche Market แตกต่างจากรายอื่นๆ ในตลาด ด้วยจุดเด่นในการส่งสินค้าขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก หลากรูปทรง และส่งถึงหน้าบ้าน ประกอบมีกลุ่มลูกค้าหลายกลุ่ม ได้แก่ B2B, B2C และ C2C 

นอกจากนี้ บริษัทยังมีการขยายบริการเสริมที่เพิ่ม Value Added ในกลุ่ม C2C จากเดิมที่ให้บริการเสริมกับกลุ่ม B2B และ B2C ดังนั้นทำให้บริษัทมีช่องว่างทางการตลาดที่ยังเติบโตได้ อีกทั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 คาดว่าผลการดำเนินงานจะเติบโตได้ดี เนื่องจากไตรมาส 3-4 เป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์