IAA ชี้สารพัดปัจจัยลบทุบ‘หุ้นไทย' หั่นเป้าดัชนีสิ้นปีนี้เหลือ 1,606 จุด
สมาคมนักวิเคราะห์ฯ เผยผลสำรวจฯปรับลดเป้าดัชนีสิ้นปีนี้ลง 34 จุด เหลือ 1,606 จุด จากเดิม 1,630 เหตุสารพัดปัจจัยกดดัน " กนง.ขึ้นดบ.สวนทางตลาดคาด-น้ำมันพุ่ง-งบปี67 ล่าช้า" หวังรบ.ดันศก.ปีหน้าโต4%- กำไรบจ.โต หนุนฟันด์โฟลว์ไหลเข้าหุ้นไทย
สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน สำรวจความเห็นนักวิเคราะห์(IAA Analyst Survey) ครั้งที่ 4/2566 ถึงแนวโน้มการลงทุน ไตรมาส 4 ปี 2566
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยว่า นักวิเคราะห์การลงทุนและผู้จัดการกองทุนได้ปรับลดคาดการณ์ดัชนีหุ้นไทย สิ้นปี 2566 อยู่ที่ 1,606 จุด ลดลง 34 จุด จากคาดการณ์เดิมครั้งก่อนอยู่ที่ 1,630 จุด เนื่องจาก คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมาที่ระดับ 2.50% ซึ่งมากกว่าที่ตลาดคาดไว้คงดอกเบี้ยที่ระดับ 2.25% จึงเป็นเหตุกดดัน valuation หุ้น ปรับลดลง
รวมถึงราคาพลังงานปรับขึ้นมากค่อนข้างมาก ส่งผลกระทบต่อต้นทุนบางธุรกิจและการบริโภคได้ รวมถึงช่วงที่ผ่านมารัฐบาลจัดตั้งล่าช้า ส่งผลให้การจัดงบประมาณปี2567 และการเบิกจ่ายงบรัฐล่าช้าตามด้วย แต่จะส่งผลเต็มปีในปี 2567
นายสมบัติ กล่าวว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี2566 ของตลาดเฉลี่ยที่ 89.04 บาท ปรับลดจากผลการสำรวจครั้งก่อน อยู่ที่ 93.21 บาทต่อหุ้น และครั้งนี้คาดการณ์ EPS Growrth ของปี 2566 อยู่ที่ 6.5% และ EPS ในปี 2567 ของตลาดเฉลี่ยขึ้นไปที่ 99.47 บาท และคาดว่า EPS Growrth ของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 12.03%
อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้(ต.ค. -ธ.ค. 2566) ยังมองว่าดัชนีหุ้นไทยจะฟื้นในทิศทางบวกได้ โดยมีค่าเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ระดับ 1,619 จุด และค่าเฉลี่ยต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 1,468 จุด สำหรับปัจจัยบวกที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนสิ้นปีนี้ คือ ผลประกอบการบจ.ไทย ปี2567 เติบโต รองมาเป็นเศรษฐกิจภายในประเทศกำลังฟื้นและปัจจัยการเมืองในประเทศ ขณะที่เงินลงทุนนักลงทุนชาติ(ฟันด์โฟลว์)ยังไหลออกแต่สุดท้ายคาดไหลกลับได้
ส่วนปัจจัยลบต่อทิศทางการลงทุน นำโดยปัจจัยการเมืองในประเทศ รองมาเป็นทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ,เศรษฐกิจโลกและทิศทางดอกเบี้ยในประเทศนักวิเคราะห์ฯ ส่วนใหญ่ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกนง.ในปี 256ยังคงดอกเบี้ยที่ระดับ 2.50%
นอกจากนี้นักวิคราะห์ได้ปรับลดการขยายตัวเศรษฐกิจไทย (GDP) 2566 เหลือ2.85% จากเดิม 3.38% และ GDP ปี2567 ขยายตัวอยู่ที่ 3.56% ,Risk Free Rate ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.93% และ Risk Premimของตลาดหุ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 7.02%
นายสมบัติ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่า 5-6 เดือนข้างหน้า หากรัฐบาลผลักดันโครงการลงทุน เช่น Land Bridge กระตุ้นท่องเที่ยวไทย ดึงเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาในNew S Curve ลดการแจกเงินทั่วไปเพิ่มการแจกเงินเฉพาะกลุ่ม ช่วยเหลือภาระหนี้เกษตรและข้าราชการได้ตามแผนงาน จีดีพีไทยปี 2567 มีโอกาสโต 4% ชัดเจนเท่าไรก็ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นของต่างชาติมากขึ้น ทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์)ไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยได้
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า ในไตรมาส 4 ปีนี้ นักวิเคราะห์ฯ แนะเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก พาณิชย์ การแพทย์และการท่องเที่ยว ขณะที่ลดน้ำหนัก หมวดธุรกิจไฟแนนซ์(นอนแบงก์) และปิโตรเคมี
สำหรับ5 หุ้นเด่นที่นักวิเคราะห์ฯ แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป ได้แก่ ADVANC ,AOT,BDMS , CPALL ,TOP และควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้น DELTA เพราะ ราคาหุ้นเกินมูลค่าทางปัจจัยพื้นฐานไปมาก (ข้อมูลที่ตอบแบบสอบถาม 21-27 ก.ย. 2566) และกลุ่มหุ้นที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาครัฐและต้นทุนพลังงาน