หุ้นน่าสอย ติดพอร์ต Q 4/66 แนะ 4 กลุ่มเด่น ผ่าวิกฤติ SET
โบรกเกอร์ เผย 4 กลุ่มหุ้นเด่นน่าลงทุนช่วงวิกฤติ SET กลุ่มค้าปลีก CPALL กลุ่มการแพทย์ BCH EKH กลุ่มสื่อสาร ADVANC และกลุ่มท่องเที่ยว หลังรับอานิสงส์รัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมแนะจับตาสถานการณ์ทั้งใน - ต่างประเทศ
ประเดิมไตรมาส 4/2566 ได้ไม่กี่วัน ตลาดหุ้นไทยต้องเจอแรงขายเกือบทั่วทุกกลุ่มอุตสาหกรรมทำให้ดัชนี SET ปรับตัวลงแรง โดยในวันที่ 3 ก.ย.2566 ที่ผ่านมา ปรับลงไปกว่า 22 จุด ทำให้ SET หลุดแนวรับสำคัญ 1,450 จุด ฉะนั้นการลงทุนในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ จึงน่าจับตาว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งส่วนใหญนักวิเคราะห์ยังมองว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นมาได้ 1,500 จุด หลังจากที่มีความชัดเจนการประชุมเฟดในเดือนพ.ย. นี้ รวมถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่คาดว่าในไตรมาส 4/66 จะมีความชัดเจนมากขึ้นด้วยเช่นกัน
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ในฐานะนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) และกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า ไตรมาส 4/66 ยังมีประเด็นที่ต้องจับตาอยู่ ซึ่งถ้าในต่างประเทศคงหนีไม่พ้นนโยบายการเงินของเฟด เพราะถือว่ายังคงเป็นเรื่องใหญ่อยู่ที่ทุกคนยังคงมีความไม่มั่นใจว่า อัตราดอกเบี้ยนั้นได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้วหรือยัง หลังจากที่เงินเฟ้อเริ่มมีทีท่าว่ากลับเพิ่มสูงขึ้นอีกรอบหนึ่ง ขณะเดียวกันยังคงต้องจับตาเศรษฐกิจจีนด้วย แม้ว่าเริ่มมีการฟื้นตัวแต่ยังไม่แน่ใจว่าจะส่งผลได้ขนาดไหนต่อเงินเฟ้อ
“ยังคงเป็นประเด็นต่างประเทศที่ยังต้องจับตาดู หากตัวเลขเงินเฟ้อออกมาดี เฟดมีท่าทีที่ผ่อนคลายลงจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น หากไม่เป็นอย่างนี้ตลาดหุ้นยังคงมีความกังวลอยู่ ขณะที่จีนก็ยังลุ้นให้ฟื้น และมีทีท่าจะดีขึ้นแต่ยังไม่แน่ใจอีกว่าจะยั่งยืนได้แค่ไหน”
ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศที่ยังมีความกังวล และต้องจับตาคงหนีไม่พ้นเรื่องนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งความชัดเจนในรายละเอียด ขณะนี้ยังมีให้เห็นไม่มากนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินดิจิทัลวอลเล็ตยังไม่เห็นรายละเอียดว่า จะใช้เม็ดเงินจากทางใด และสำคัญที่สุดคือ วินัยการคลังของรัฐบาลเองด้วย ว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างไร ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักๆ ที่ไตรมาสที่ 4/66 ยังคงต้องจับตา
นายไพบูลย์ กล่าวต่อไปว่า จากปัจจัยหลายๆ ส่วนที่เข้ามากระทบทั้งในประเทศ และต่างประเทศส่งผลให้ตลาดหุ้นไทย ณ วันที่ 3 ต.ค.66 ดัชนีหลุด 1,450 จุด ที่สำคัญที่สุดหากรัฐบาลมีแผนที่ชัดเจนกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และรัฐบาลมีการรับฟังจากเสียงที่สะท้อนออกมาหลายฝ่ายที่มีความไม่เห็นด้วยกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว หากมีการรับฟัง และปรับปรุงบ้าง ซึ่งนโยบายการกระตุ้นเศรษกิจบางอันอาจจะดูเหมือนเยอะไปหรือไม่ อาจจะไม่จำเป็น หากมีการลดขนาดลงมาบ้างอาจจะสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้บ้าง
รวมถึงตลาดทุนไทย ณ ขณะนี้มีความกังวลเรื่องวินัยการคลังค่อนข้างสูง เพราะอาจจะนำไปสู่เสถียรภาพของทั้งตลาดเงินตลาดทุน และประเทศเองจึงอยากเห็นแนวทางของรัฐบาลที่ชัดเจนว่า จะสร้างความเชื่อมั่นในด้านนี้ได้อย่างไร
ทั้งนี้หุ้นที่ควรมีติดพอร์ตยังคงให้น้ำหนักไปที่หุ้นท่องเที่ยว และหุ้นที่เกี่ยวกับเฮลท์แคร์ ซึ่งมองว่าจะได้รับผลกระทบไม่มากจากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าทุกวันนี้การท่องเที่ยวถือว่ายังเป็นจุดขายของประเทศ และยังเห็นว่านักท่องเที่ยวยังมีการเดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และยังมองว่า เป็นหุ้นกลุ่มระยะยาวที่สามารถลงทุนได้ บวกกับรัฐบาลเข้ามากระตุ้นการท่องเที่ยวเรื่องฟรีวีซ่า เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากยิ่งขึ้น
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ไตรมาส 4/66 สิ่งที่ต้องจับตาอยู่ยังคงเป็นประเด็นเรื่องของบอนด์ยีลด์ของสหรัฐ และบอนด์ยีลด์ของไทย ซึ่งบอนด์ของสหรัฐอยู่ที่การประชุมเฟดในวันที่ 1 พ.ย.66 ส่วนของไทยนอกจากมีแนวโน้มตามสหรัฐแล้วยังมีนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่ต้องรอดูความชัดเจนในส่วนของแหล่งที่มาของเงินที่จะนำมาใช้ในดิจิทัลวอลเล็ต
ทั้งนี้หากยังไม่มีความชัดเจนออกมา จะยังคงส่งผลให้บอนด์ยีลด์ของไทยยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง เพราะเป็นความกังวลว่า สุดท้ายแล้วจะต้องมีการออกบอนด์เพื่อใช้เป็นตัวงบประมาณในการทำโครงการนี้ ซึ่งอาจจะไปกระทบอันดับเครดิตของประเทศหรือไม่
ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทยก็ได้รับผลกระทบจากภาวะทั้งในประเทศ และต่างประเทศส่งผลให้ดัชนีหลุด 1,450 จุด แต่คาดว่าจะสามารถพลิกกลับขึ้นมาในระดับที่ 1,500 จุดได้ หลังจากที่มีการประชุมเฟดในเดือนพ.ย. 66 นี้ เพราะเชื่อว่า บอนด์ยีลด์น่าจะค่อยๆ เริ่มอ่อนตัวลงมา
รวมถึงหากมีความชัดเจนเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งควรจะมีความชัดเจนในไตรมาส 4/66 เพราะโครงการจะเริ่มใช้ใน 1 ก.พ.67 ปีหน้า และหากมีความชัดเจนมากขึ้นแล้วจะส่งผลบอนด์ยีลด์ปรับตัวลงมา และทำให้หุ้นไต่ระดับกลับขึ้นมาได้
แนะนำนักลงทุนช่วงไตรมาส 4/66 นักลงทุนอาจจะเน้นเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ผลประกอบการไตรมาส 3/66 ออกมาดี ซึ่งจะมีกลุ่มค้าปลีก กลุ่มการแพทย์ กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลในปีหน้า
“กลุ่มค้าปลีกจะเป็นหุ้น CPALL กลุ่มการแพทย์ หุ้น BCH EKH ส่วนกลุ่มสื่อสาร ที่น่าสนใจเป็น ADVANC ยังมีอัพไซด์เมื่อเทียบกับราคาเหมาะสม บวกกับผลประกอบการไตรมาส 3/66 จะยังคงโตทั้ง QoQ และ YoY รวมถึงยังเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลทั้งดิจิทัลวอลเล็ต และการยกระดับทางการแพทย์จากนโยบาย 30 บาท พลัส”
ขณะที่กลุ่มที่นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงในช่วงไตรมาส 4/66 คือ หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เพราะยังได้รับผลกระทบจากการแทรกแซงจากราคาพลังงานของภาครัฐบาล รวมถึงกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ในช่วงนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างมาก อาจจะต้องเริ่มระมัดระวัง หากเศรษฐกิจโลกมีการชะลอตัวกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์