SCGD ประกาศช่วงราคา IPO หุ้นละ 11.20 – 15 บาท ตั้งโต๊ะเทนเดอร์ 1 พ.ย.-6 ธ.ค.นี้
SCGD ประกาศช่วงราคาขายเบื้องต้น IPO หุ้นละ 11.20 – 15.00 บาท
ทำ Tender Offer ช่วงวันที่ 1 พ.ย. – 6 ธ.ค.66 เพื่อแลกหุ้นกับผู้ถือหุ้น COTTO จำนวน 4.6667 – 6.2500 หุ้น COTTO เท่ากับ 1 หุ้น SCGD
ผู้ถือหุ้น SCC และ COTTO ที่มีสิทธิจองซื้อ 29 พ.ย. – 6 ธ.ค. 66 และประชาชนจองซื้อ 8 และ 12 - 13 ธ.ค.66
นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด(มหาชน) หรือ SCGD เปิดเผยว่า สำหรับ ความคืบหน้าการปรับโครงสร้างโดยการทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO จะเกิดขึ้นในวันที่ 1 พฤศจิกายน – 6 ธันวาคม 2566 ที่ราคา 2.40 บาทต่อหุ้น และชำระค่าตอบแทนเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน SCGD ที่ช่วงราคาเสนอขายหุ้นเบื้องต้นเท่ากับ IPO ที่ 11.20 – 15.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็นช่วงอัตราแลกหุ้นเบื้องต้นจำนวน 4.6667 – 6.2500 หุ้น COTTO ต่อ 1 หุ้น SCGD (กรณีที่มีเศษหุ้นจะปัดลงทั้งหมด) ภายหลังการปรับโครงสร้าง และการ IPO หุ้น COTTO จะถูกเพิกถอนจากตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะทำให้ผู้ถือหุ้น COTTO ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าว กลายเป็นผู้ถือหุ้นของ SCGD ซึ่งจะเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทน
นอกจากนี้ SCGD ยังมีการเสนอขายหุ้น IPO ให้แก่ ผู้ถือหุ้นของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC และผู้ถือหุ้นของ COTTO ที่จะได้รับสิทธิจองซื้อหุ้น SCGD เพิ่มเติม โดยกำหนด Record date ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 และกำหนดวันจองซื้อ 29 พฤศจิกายน – 6 ธันวาคม 2566 รวมถึงนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนรายย่อยจองซื้อวันที่ 8 และ 12 - 13 ธันวาคม 2566
โดยมีวัตถุประสงค์การเสนอขาย IPO เพื่อนำไปขยายธุรกิจทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และดำเนินงาน เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน การชำระคืนเงินกู้ยืม การควบรวมกิจการในอนาคต รวมทั้งเป็นเงินทุนหมุนเวียน และปรับโครงสร้างเงินทุน
นายนำพล กล่าวว่า ภาพรวมตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิว และสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย มีศักยภาพเติบโตสูง โดยมีปัจจัยจากรายได้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป การขยายตัวของสังคมเมือง และจำนวนประชากรทั้ง 4 ประเทศดังกล่าว ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากเกือบ 557 ล้านคนในปี 2564 เป็นเกือบ 580 ล้านคนในปี 2569 ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดที่อยู่อาศัย และดีมานด์วัสดุตกแต่งพื้นผิว และสุขภัณฑ์
โดยคาดว่าในปี 2565 – 2569 ภาพรวมอุตสาหกรรมกระเบื้องเซรามิก ประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย จะเติบโตเฉลี่ย 1.2% , 14.3% , 4.4% และ 6.9% ต่อปีตามลำดับ และภาพรวมอุตสาหกรรมสุขภัณฑ์จะเติบโตเฉลี่ยต่อปี 2.1% ,13.9% , 6.9% และ 8.5% ตามลำดับ จากมูลค่าตลาดรวมประมาณ 5,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 180,000 ล้านบาทในปี 2564
ทั้งนี้ ปัจจุบัน SCGD เป็นผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิว และสุขภัณฑ์อย่างครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน ผ่านฐานการผลิตกระเบื้องเซรามิก และสุขภัณฑ์ รวมถึงช่องทางจำหน่ายต่างๆ ทั้งในประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยมีส่วนแบ่งการตลาดกระเบื้องเซรามิกเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ รวมทั้งมีส่วนแบ่งการตลาดสุขภัณฑ์เป็นอันดับ 1 ในประเทศไทยอีกด้วย
บริษัทได้มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรม และนำเสนอผลิตภัณฑ์ตกแต่งพื้นผิว และสุขภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต
ผ่านการวางกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน และเติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ได้แก่ 1) ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนโดยจะขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ ในอาเซียน และมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ใหม่ และนวัตกรรม เช่น กลุ่ม COTTO Smart Toilet นวัตกรรมด้านสุขภาพและอนามัย เป็นต้น
2) ต่อยอดความแข็งแกร่งของธุรกิจตกแต่งพื้นผิวในประเทศไทยสู่ผู้นำในภูมิภาคอาเซียน โดยขยายตลาดกลุ่มกระเบื้องไวนิล SPC และกระเบื้องไวนิล LVT ในเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย รวมถึงขยายช่องทางจัดจำหน่ายในประเทศไทย และร้านค้าของบริษัทในต่างประเทศ
3) ขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์ และบริการที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการให้บริการแบบครบวงจรในธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ โดยผนึกกำลังธุรกิจตกแต่งพื้นผิว และสุขภัณฑ์รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจแบบ Total Solution รวมถึงมองโอกาสขยายไปยังผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง
4) บริหารห่วงโซ่อุปทาน ทั้งด้านการผลิต และการจัดหาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยผสานความร่วมมือฐานการผลิตแต่ละประเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และบริหารต้นทุน ตลอดจนเพิ่มการซอร์สซิ่งกระเบื้องและขยายไปยังสุขภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ
5) เติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืนด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์โลก ตลอดจนกระบวนการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายใต้มาตรฐานระดับโลก เช่น เพิ่มรายได้จากการขายสินค้า และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (SCG Green Choice) จากร้อยละ 70 เป็นร้อยละ 80 ของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ภายในปี 2573 เป็นต้น โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี 2593
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการ การจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า หลังจาก บมจ.เอสซีจี เดคคอร์ ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ปัจจุบันได้รับอนุมัติแบบคำขอฯ และแบบไฟลิ่งมีผลใช้บังคับแล้ว โดย SCGD เตรียมพร้อมออก และเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 439,100,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 26.61 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออก และชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการออก และเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างโดยการทำเสนอซื้อหุ้น COTTO เพื่อแลกหุ้น รวมถึงเสนอขายหุ้น IPO
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์