7 บิ๊กแบรนด์ ‘หุ้นอสังหา’ จัดหนัก Super Sale ลดสูงสุด 20 - 70%
หุ้นกลุ่มอสังหาอัตราผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 ติดลบเกือบทุกหลักทรัพย์ โดย 7 บิ๊กแบรนด์ หุ้นอสังหา ติดลบแล้วกว่า 20 - 70% หุ้น NUSA ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง YTD ติดลบมากสุด 70.34%
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 ยังไม่สามารถผงกหัวกลับมาคึกคักได้เหมือนก่อนช่วงโควิด-19 ซึ่งภาพรวมตลาดอสังหาฯ บ้านเรายังถูกปัจจัยลบกดดันอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นที่กระทบกำลังซื้อ รวมถึงเหตุกราดยิงที่ห้างดังใจกลางเมือง ส่งผลกระทบแรงฉุดกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวชาวจีน และนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเซีย
สรพงษ์ จักรธีรังกูร ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หุ้นกลุ่มอสังหา ฯ ในช่วงที่ผ่านมาราคาค่อนข้างปรับตัวลงมาแรง และราคาค่อนข้างต่ำ ซึ่งในเชิงราคาต้องยอมรับว่า ได้รับผลกระทบหลายด้าน ไม่ว่าอัตราดอกเบี้่ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้่น ขณะที่หนี้ครัวครัวที่สูง และการกลับมาของผู้ซื้อบ้านชาวต่างชาติ ที่หลายคนคาดหวังหลังจากที่มีการเปิดประเทศจะมีแรงซื้อจากชาวจีนกลับมาได้มากขึ้นกว่าปีแล้ว แต่เป็นการปรับขึ้นที่ยังไม่ได้ช่วยตลาดสักเท่าไร เพราะฉะนั้นจึงทำให้มีแรงกดดันอยู่
รวมถึงไตรมาส 3/66 ยอดบ้านในหลายบริษัทมีการปรับตัวลดลงแบบชะงักงัน เหตุคือ มาจากประเด็นทางการเมืองที่ 2 เดือนแรกของไตรมาสหลังจากมีการเลือกตั้งช่วงเดือนพ.ค. - ส.ค.66 มีความไม่แน่นอนทางการเมือง ว่ารัฐบาลใดจะเข้ามา มาจากพรรคใดในช่วงนั้น จึงทำให้ผู้ซื้อบ้านบางกลุ่มชะลอการตัดสินใจซื่้อบ้านไปด้วย ส่งผลให้ยอดขายบ้านในไตรมาส 3/66 ค่อนข้างที่จะต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ขณะที่ดีเวลลอปเปอร์หลายรายยอมรับว่า น่าจะพลาดเป้าจากสิ่งที่จะสามารถสร้างรายได้ได้ จึงผลให้ในไตรมาส 3/66 ดีเวลลอปเปอร์ มีการชะลอการเปิดตัวโครงการออกไปเช่นกัน จากที่มีการวางแผนว่าจะเปิดโครงการค่อนข้างมาก และก็ต้องชะลอไปก่อน
“แม้ว่า ราคาหุ้นกลุ่มอสังหาจะปรับตัวลงมา แต่ถ้าไปดูใน Dividend Yield ของกลุ่มนี้่มีการปรับเพิ่มขึ้นไปเป็น 8.3% สำหรับผลประกอบการในปีนี้”
หากมองถัดไป ด้วยสถานการณ์ที่ราคาหุ้นได้รับรับรู้ไปแล้วก่อนหน้า ในปีถัดไป กับการเปิดตัวโครงการไตรมาส 4/66 จะมีการเปิดตัวโครงการเพิ่มขึ้น เนื่องจากซัพพลายในหลาย ๆ ทำเลได้หมดไป โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่หายไปค่อนข้างมาก ซึ่งในช่วง 2 -3 สัปดาห์ที่ผ่านมาจะเริ่มเห็นดีเวลลอปเปอร์เริ่มเปิดตัวโครงการใหม่ขึ้นมา และหลายโครงการเริ่มทำยอดขายได้ดีมาก ขณะที่โครงการแนวราบ มีการประคองตัวให้ยืนอยู่ได้ และมีการปรับตัวเพิ่มขึ้่นจากกลยุทธซัพพลายพลูดีมานด์
นอกจากนี้่ ในปีหน้า ธปท. ประเมินการเติบโตของจีดีพีไว้ประมาณ 4% ซึ่งอาจจะเป็นการตั้งไว้สูงไปบ้าง แต่อย่าไรก็ตาม ธปท. เองได้ออกมาบอกว่า สาเหตุที่ตั้งสูง เป็นการรวมโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท เข้าไป ด้วยแต่หากรัฐบาลมีการปรับโครงสร้างน้อยลง อาจจะทำให้จีดีพีปรับลดลงมาได้
อย่างไรก็ตาม หากในปีหน้าการเติบโตของจีดีพี อยู่ที่ประมาณ 2 - 3% ที่ไม่ได้สูงมาก และดีมานด์ไตรมาส 4/66 เริ่มกลับมา ปีหน้าถือเป็นปีตั้งต้นที่ดีของกลุ่มอสังหาฯ เนื่องจากเมื่อมีโครงการเปิดขึ้่นมาใหม่ในไตรมาส 4/66 ก็จะมีโมเมนตัมขายได้ดีไปสักระยะหนึ่ง ส่งผลให้ครึ่งปีแรกของปี 67 จะดีกว่าปีนี้
แนะนำนักลงทุน กลุ่มอสังหายังพอที่จะเติบโตได้ในหลาย ๆ บริษัท โดยเฉพาะราคา Valuation ที่ค่อนข้างต่ำพอสมควร ซึ่ง ค่า P/E เฉลี่ยของกลุ่มอยู่ที่ 6.7 เท่า แต่อย่างไรก็ตาม ค่า P/E ของกลุ่มยังมีหุ้นบางตัวที่เป็นตัวดึงอย่างหุ้น LH หรือ QH ที่มี Investment อื่น ๆ ที่ไม่ใช่บ้านอยู่ด้วย ซึ่งจะเป็น P/E ที่สูงกว่า และหากพิจารณาบริษัทที่ทำโครงการบ้านเพียงอย่างเดียว P/E จะอยู่ประมาณ 5 - 6 เท่า ซึ่งถือว่า ถูกมาก ๆ นักลงทุนสามารถเข้าไปสะสมได้ หากจังหวะสะสมในราคาที่เข้าไปได้ แต่คงไม่ได้เป็นการซื้อไม้เดียว เพราะยังมีสถานการณ์ความไม่แน่นอนอยู่
นอกจากนี้ ในส่วนของหุ้น ANAN ราคาปรับลดมามาก จากกรณี ASHTON Asoke แต่ล่าสุด มีกระแสข่าวออกมาว่า กระทรวงคมนาคม ได้มีการรับเรื่องเข้าไปพิจารณาด้านกฎหมาย หากมีการแก้ไขได้จริงจะเป็นทางออกที่ดีให้แก่ลูกบ้าน และจะส่งผลบวกต่ออนันดาด้วย โดยเฉพาะราคาหุ้นที่ถูกกดลงมาจากประเด็นดังกล่าว ก็จะทำให้มีการราคากลับขึ้นมาได้
ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หุ้นกลุ่มอสังหาฯ ณ ขณะนี้ยังไม่น่าเข้าไปลงทุน เนื่องจากว่ายอด Pre-sale ครึ่งหลังของปีนี้มีการเป้าลงมาค่อนข้างมาก ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้เศรษฐกิจยังฝืดเคือง ส่งผลให้ยอด Pre-sale แย่ลงไปเรื่อย ๆ แม้ว่า จะเป็นโครงการ Luxury ยอด Pre-sale ก็ลดเช่นกัน ซึ่งหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ยังคงต้องอดทนรอ
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มอสังหาฯ ถือเป็นกลุ่ม High Yield ที่สามารถจ่ายปันผลได้ดี แม้ว่าราคาจะปรับร่วงลงมาก็ตาม ยังน่าเข้าไปสะสมอยู่ อย่างหุ้น SC LH AP สามารถรอดักเก็บสะสมได้
ทั้งนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” ได้สำรวจหุ้นกลุ่มอสังหาอัตราผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 ติดลบเกือบทุกหลักทรัพย์ โดย 7 บิ๊กแบรนด์ หุ้นอสังหา ติดลบแล้วกว่า 20 - 70%
1.บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA
- ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง YTD -70.34%
- ราคา ณ 31 ต.ค.66 ปิดที่ 0.36 บาท
- ค่า P/E - เท่า
- เงินปันผลตอบแทน -%
- งบ 6 เดือน ขาดทุน 161.81 ล้านบาท
- รายได้รวมอยู่ที่ 714.67 ล้านบาท
- มาร์เก็ตแคป 4,573.18 ล้านบาท
2.บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN
- ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง YTD -48.28%
- ราคา ณ 31 ต.ค.66 ปิดที่ 0.74 บาท
- ค่า P/E - เท่า
- เงินปันผลตอบแทน -%
- งบ 6 เดือน ขาดทุน 144.08 ล้านบาท
- รายได้ 6 เดือน อยู่ที่ 1,549.33 ล้านบาท
- มาร์เก็ตแคป 3,124.69 ล้านบาท
3.บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA
- ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง YTD -40.10%
- ราคา ณ 31 ต.ค.66 ปิดที่ 2.36 บาท
- ค่า P/E 7.14 เท่า
- เงินปันผลตอบแทน 8.70%
- งบ 6 เดือน กำไรสุทธิ 213.30 ล้านบาท
- รายได้ 6 เดือน อยู่ที่ 1,911.59 ล้านบาท
- มาร์เก็ตแคป 3,403.76 ล้านบาท
4.บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE
- ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง YTD -36.58%
- ราคา ณ 31 ต.ค.66 ปิดที่ 3.46 บาท
- ค่า P/E 7.30 เท่า
- เงินปันผลตอบแทน 5.68%
- งบ 6 เดือน กำไรสุทธิ 184.41 ล้านบาท
- รายได้ 6 เดือน อยู่ที่ 4,477.67 ล้านบาท
- มาร์เก็ตแคป 4,820.34 ล้านบาท
5.บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH
- ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง YTD -23.23%
- ราคา ณ 31 ต.ค.66 ปิดที่ 7.55 บาท
- ค่า P/E 12.89 เท่า
- เงินปันผลตอบแทน 7.89%
- งบ 6 เดือน กำไรสุทธิ 2,803.70 ล้านบาท
- รายได้ 6 เดือน อยู่ที่ 14,036.14 ล้านบาท
- มาร์เก็ตแคป 90,817.82 ล้านบาท
6.บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI
- ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง YTD -24.28%
- ราคา ณ 31 ต.ค.66 ปิดที่ 18.40 บาท
- ค่า P/E 4.67 เท่า
- เงินปันผลตอบแทน 7.88%
- งบ 6 เดือน กำไรสุทธิ 2,781.14 ล้านบาท
- รายได้ 6 เดือน อยู่ที่ 14,345.71 ล้านบาท
- มาร์เก็ตแคป 35,936.19 ล้านบาท
7.บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI
- ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง YTD -21.07%
- ราคา ณ 31 ต.ค.66 ปิดที่ 8.95 บาท
- ค่า P/E 6.60 เท่า
- เงินปันผลตอบแทน 7.54%
- งบ 6 เดือน กำไรสุทธิ 1,670.92 ล้านบาท
- รายได้ 6 เดือน อยู่ที่ 6,943.90 ล้านบาท
- มาร์เก็ตแคป 23,436.87 ล้านบาท