‘หุ้น IPO’ พาเหรดราคาดิ่ง ‘กูรู’ประสานเสียง ภาวะตลาดไม่เอื้อ -ไร้เชื่อมั่น
‘หุ้นIPO’พาเหรดราคาดิ่ง กูรูตลาดทุนชี้ภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้อ "ปัจจัยลบใน-ต่างประเทศ“กดดัน ส่งผลนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ย้ำไม่ใช่วิกฤติ “ภากร” ช่วงนี้ยิ่งเกาะติดตรวจสอบทั้งหุ้นน้องใหม่-หุ้นเดิม ลั่นหากพบกระทำผิด เดินหน้าตรวจสอบ-ส่งไม้ต่อเพื่อลงโทษ แหล่งข่าว เผย ตลท.เตรียมเข้าหารือก.ล.ต. สร้างความโปร่งใสมากขึ้น-ขจัดประเด็นรายย่อยถูกเอาเปรียบ
หุ้นน้องใหม่ “ไอพีโอ”ที่เข้าจดทะเบียนในช่วง1-2 เดือนที่ผ่านมานั้น หุ้นหลายตัวราคาก็ปรับตัวลงมากกว่า10% บางตัวกว่า 30% ซึ่งวงการตลาดทุน มองว่าไม่ใช่วิกฤติหุ้นไอพีโอ เพราะ ปีนี้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดลงมากว่า 288 จุดแล้ว จากสถานการณ์ความไม่แน่นอน โดยเฉพาะในต่างประเทศ ทั้งสงครามตะวันออกลาง และเฟดที่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา จึงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุนในหุ้นไอพีโอ
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า หุ้นไอพีโอที่เข้าซื้อขายในช่วงนี้ราคาปรับตัวลดลงนั้น ไม่ใช่เป็นเฉพาะประเทศไทย แต่เป็นลักษณะเดียวกันทั่วโลก เนื่องจาก มีสถานการณ์ความไม่แน่นอนเยอะมาก ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ
ดังนั้นทำให้นักลงทุนมีความหวั่นไหวกับข้อมูลที่ไม่แน่นอนดังกล่าวมาก ซึ่งในแต่ละกรณีนั้นมีผลกระทบที่แตกต่างกันไป เช่น กระทบเรื่องราคาซื้อ ราคาขาย และคงบอกไม่ได้ว่านักลงทุนจะกลับมามีความมั่นใจลงทุนหุ้นไอพีโอเมื่อไร
สำหรับในตอนนี้ที่เป็นช่วงที่มีข้อมูลหรือปัจจัยความไม่แน่นอนสูง ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการทำดีลไอพีโอก็ต้องทำงานกันให้มากขึ้น ทั้งในเรื่องการให้ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆให้กับนักลงทุน เพื่อให้นักลงทุนเข้าใจ ว่าตัวเลขต่างๆ ทั้งการตั้งราคา ปริมาณหุ้นที่ออกมาเสนอขาย ฟรีโฟลทว่ามีความเหมาะสมอย่างไร
“ในช่วงที่มีสถานกาณ์ความไม่แน่นอนเยอะมากช่วงนี้ ทำให้การเสนอขายไอพีโอไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งไม่ได้เป็นเฉพาะแต่ประเทศไทย แต่เป็นกับหุ้นไอพีโอทั้งในเอเชีย และทั่วโลก”
อย่างไรก็ตามส่วนตัวมองว่าช่วงนี้มันไม่ใช่วิกฤติของหุ้นไอพีโอ เนื่องจากเป็นช่วงที่ไม่ปกติ เพราะมีความไม่แน่นอนแน่นอนสูงมาก ทั้งจากในต่างประเทศและในประเทศ ถ้าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังทำงานเหมือนเดิม ยังให้ข้อมูลเหมือนเดิมและทำโจทย์เหมือนกับช่วงสถานการณ์ปกติ ส่วนตัวคิดว่าคงจะมีผลกระทบแบบที่เห็นกัน
นายภากร กล่าวว่า ในช่วงที่เกิดสถานการณ์ไม่ปกติ หรือมีความไม่แน่นอนสูงนั้น จะเห็นว่าตลาดหลักทรัพย์ ได้มีการขอให้บริษัทจดทะเบียนให้ข้อมูลมากขึ้นในสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์เห็นว่ามีความจำเป็น และแต่ละเคสก็ไม่เหมือนกัน บางเคสเป็นราคาซื้อ บางเคสเป็นราคาขาย ดังนั้นจะเห็นว่าตลาดหลักทรัพย์พยามหาข้อมูลให้กับนักลงทุนมากขึ้น แต่ไม่จำเป็นว่าทุกเคสข้อมูลจะเป็นข้อมูลเดียวกัน เพราะ ความไม่แน่นอนของข้อมูลไม่เหมือนกัน
ผู้สื่อข่าวถามถึงการมีmarket maker ดูแลหุ้นไอพีโอนั้น นายภากร กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯมีการติดตามดูแลอยู่แล้ว ถ้าหากใครทำผิดกฎเกณฑ์ ตลาดหลักทรัพย์ก็จะดำเนินการตรวจสอบ ซึ่งหากกระทำผิดก็จะติดตามมาลงโทษ ซึ่งต้องรอดูว่ามีเคสที่ตลาดหลักทรัพย์ดำเนินการต่อเนื่องมาตลอด ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้อยู่เฉยๆ โดยตลาดทรัพย์ดูทุกเคสว่าใครทำอะไรอย่างไรบ้าง
สำหรับโจทย์สำคัญ คือ พฤติกรรมที่เขาทำว่ามันชัดเจนหรือไม่ว่าเป็นการรับจ้างทำ (market maker) ซึ่งต้องมีการติดตามสอบสวน โดยในส่วนของตลาดหลักทรัพย์ ยืนยันว่าเราดูเรื่องพฤติกรรมของIPOทุกตัวเป็นเรื่องปกติ และดำเนินการตามขั้นตอน หากตรวจพบ ก็จะมีการสอบสวน หลังจากนั้นส่งเรื่องให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการลงโทษต่อไป
อย่างไรก็ตามตลาดหลักทรัพย์ติดตามทั้งหุ้นไอพีโอ และหุ้นที่เข้าเทรดไปแล้วอยู่ตลอด ยิ่งช่วงเหตุการณ์ไม่ปกติ ตลาดหลักทรัพย์ก็ยิ่งให้เวลา ให้กำลังคนในการดูเรื่องนี้มากขึ้น อยากเรียนว่าช่วงที่เหตุการณ์ไม่ปกติก็จะต้องยิ่งตรวจสอบมากขึ้น เพราะตลาดหลักทรัพย์ก็กลัวว่าจะเกิดอีสชูพวกนี้เกิดขึ้น ซึ่งเราไม่ได้อยู่เฉยๆ ตรวจสอข้อมูลตรวจสอบตลอดเวลา ทุกอย่างกว่าจะรู้ผลก็จะต้องใช้เวลา เพราะมีขั้นตอนจะให้ออกมาพูดก่อน มันก็ไม่เหมาะสม
“การซื้อขายที่ผิดปกติ ไม่ว่าจะมาร์จินคอล การชอร์ต HFT โปรแกรมเทรด เราติดตามดูตลอด เราดูให้ถึงแอคเคาท์ถ้ามีความผิดปกติเราก็ทำตามขั้นตอน แต่อย่างที่บอก เรามีขั้นตอนดำเนินการที่คนภายนอกไม่เห็น ทำให้ไม่สามารถที่จะดำเนินการได้เร็วอย่างทุกคนต้องการ แต่ยืนยันว่าเราก็ทำขั้นตอนปกติแบบนี้อย่างสม่ำเสมอตลอด”
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ ประธานกรรมการ ชมรมวาณิชธนกิจ (IB Club) และ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้นไอพีโอเข้ามาช่วงหลังๆนี้ต่ำจองติดต่อกันหลายตัว แน่นอนย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นหรือจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุน เนื่องจากไม่กล้าที่จะถือลงทุนนาน เพราะกลัวว่าถือนานราคาหุ้นจะยิ่งต่ำลงไปเรื่อยๆ
สำหรับสาเหตุหลักหรือสาเหตุใหญ่คือภาพรวมตลาดหุ้นไทยไม่ดี ซึ่งปีนี้ดัชนีหุ้นปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดลงมาเกือบ 288 จุดแล้ว เมื่อภาวะตลาดหุ้นไม่ดีแน่นอนก็จะส่งผลกระทบต่อหุ้นทั้งตลาดทั้งหุ้นขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก และหุ้นไอพีโอ และยิ่ง หุ้นไอพีโอที่เข้ามาติดๆกันหลายตัวแล้วราคาต่ำจอง ก็ย่อมจะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนหายไป ก็ต้องยอมรับช่วงนี้ไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสมของหุ้นไอพีโอ
นายสมภพ กล่าวว่า ส่วนในเรื่องของการตั้งราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอนั้น ซึ่งต้องดูเป็นรายตัว โดยหุ้นไอพีโอหลายตัวๆไม่ได้ตั้งราคาสูง บางตัวตั้งราคาต่ำมาก P/E เพียง 5 เท่า ขณะที่อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) เพียง 0.6-0.7 เท่า ซึ่งสะท้อนว่านักลงทุนไม่มีความเชื่อมั่นในการลงทุนเลย จึงไม่อยากถือนาน และขายหุ้นออกมาด้วยความแพนิกเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ราคาไม่ดี เมื่อนักลงทุนทุกคนมีพฤติกรรมแบบนี้ ราคาหุ้นก็ไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้ แต่ถ้านักลงทุนมีความเชื่อมั่นการลงทุนสุดๆก็จะไม่มีคำว่าราคาหุ้นไอพีโอมี P/Eแพงเลย
"ช่วงนี้สส่วนตัวมองเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ไม่ใช่วิกฤติของหุ้นไอพีโอ เพราะ หุ้นไอพีโอถือว่ามีวัฏจักร ซึ่งเราก็เคยผ่านช่วงที่ไอพีโอดีสุดขีดมาแล้วจนนักลงทุนไม่สนใจว่าราคาจะแพงแค่ไหน แต่พอช่วงตลาดหุ้นไม่ดีปรับตัวลงต่อเนื่อง ล่าสุดลงมากว่า 200 จุด หุ้นใหญ่ราคายังร่วงแรง แน่นอนก็สร้างความกังวลแก่นักลงทุน"
นอกจากนี้ในปีนี้มีหุ้นไอพีโอที่จะเข้ามาซื้อขายจำนวนมาก นักลงทุนอาจเก็งกำไรระยะสั้นเพื่อหมุนเงินไปจองหรือซื้อตัวใหม่ ซึ่งวานนี้ (1 พ.ย.) มีหุ้นไอพีโอ เข้ามาเทรดพร้อมกันถึง 2 ตัว ซึ่งก็ไม่เคยเห็นแบบนี้มาสักระยะแล้ว และที่อยู่ระหว่างการยื่นไฟลิ่ง และหุ้นที่ได้รับอนุมัติให้ขายหุ้นได้มีหลายตัวที่รอการเสนอขายหุ้น
“ถ้าตลาดหุ้นมีลักษณะซึมๆนิ่งๆ หุ้นไอพีโอก็จะเฟอร์ฟอร์มดี แต่ถ้าตลาดหุ้นปรับตัวลงต่อเนื่องทุกวัน หุ้นไอพีโอก็ไม่สามารถที่จะพุ่งสวนภาวะตลาดหุ้นไทยได้”
ทั้งนี้จากสภาวะตลาดไม่เอื้อหุ้นไอพีโอเข้ามาเทรดแล้ว ราคาร่วงติดๆกันหลายตัว เชื่อว่าทุกคนคงจะชะลอการเสนอขายและเข้าเทรดในตลาดหุ้น เพื่อรอดูสถานการณ์ หรือรอให้ภาวะตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวก่อน ส่วนหุ้นไอพีโอที่บล.ฟินันเซียฯเป็นที่ปรึกษาทางการเงินนั้น ขณะนี้เราก็มีการจับตามสถานการณ์ต่างๆอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตามการที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมานั้น จากเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ส่วนตัวมองว่าเป็นโอกาสของนักลงทุนในการลงทุนในหุ้นไอพีโอที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี เพราะราคาหุ้นบางตัวลงมา 30-40% บางตัวลงแล้วลงอีก ยิ่งกว่ามิดไนท์เซล เพราะนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น
นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด กล่าวว่า หุ้นไอพีโอที่เข้าเทรดช่วงนี้ แม้เป็นหุ้นพื้นฐานดีราคาเทรดวันแรกก็ต่ำจอง เพราะภาวะตลาดหุ้นไทยไม่เอื้อ ดัชนีปรับตัวลงต่อเนื่อง จากปัจจัยสงครามในตะวันออกลาง และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นการลงทุน และพร้อมที่จะตัดขายหุ้นเพื่อหยุดการขาดทุน (Cut loss)ทันที โดยจะเห็นได้ว่าวอลุ่มเทรดของหุ้นไอพีโอในช่วงนี้น้อยมาก ซึ่งในช่วงปกติวอลุ่มเทรดหุ้นไอพีโอต้องหมุนหลายรอบในวันแรกที่เข้าซื้อขาย
ส่วนการตั้งราคาขายหุ้นไอพีโอนั้นก็จะเห็นได้ว่ามีหุ้นหลายตัว ตั้งราคาไอพีโอที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากในช่วงนี้ที่ภาวะตลาดไม่ดี ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นโอกาสของนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นไอพีโอ ที่จะเข้ามาเลือกซื้อหุ้นไอพีโอที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีได้ในราคาที่ต่ำ เพื่อรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
“ต้องยอมรับว่าหุ้นไอพีโอที่เข้ามาเทรดในช่วงหลังๆนี้ ราคาหุ้นต่ำจองหลายตัวติดๆก็ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนหุ้นไอพีโออยู่แล้ว ซึ่งปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบคือ ภาพรวมตลาดหุ้นไม่ดี จากปัจจัยไม่แน่นอนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนเรื่องการตั้งราคานั้นไม่ได้เป็นประเด็น เพราะไอพีโอหลายตัวตั้งต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน”
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสถานการณ์หุ้นไอพีโอต่ำจองนั้นจะเป็นภาพระยะสั้น ซึ่งหวังว่าหากสงครามตะวันออกกลางจบแล้ว ก็จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมาได้
สำหรับหุ้นไอพีโอที่ ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งยื่นไฟลิ่งไปแล้ว มี 2 บริษัท คือ บมจ.สุพรีม ดิสทิบิวชั่น(SPREME) ซึ่งเข้าจดทะเบียนในSET และ บมจ.มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MGI) เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ได้รับอนุมัติจาก.ล.ต.แล้ว
โดยเราก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะเข้าเทรด เพราะต้องรอดูภาพรวมตลาดหุ้นไทยให้เอื้อต่อการเสนอขายก่อน เพราะหากหุ้นไอพีโอได้รับอนุมัติให้เสนอขายหุ้นแล้วมีเวลารวม 1 ปี ที่จะเสนอขายได้
ด้านแหล่งข่าววงการในตลาดทุน เผยว่า วานนี้ตลาดหลักทรัพย์ได้มีการหารือกันภายในเพื่อเตรียมประเด็นเข้าไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่าจะทำอย่างไรกรณีหุ้นไอพีโอให้มีความโปร่งใสมากขึ้น ไม่มีประเด็นอะไรที่ทำให้นักลงทุนรู้สึกว่าเขาถูกเอาเปรียบ ซึ่งจะช่วยหนุนความมั่นใจ
ทั้งนี้หากไม่ทำอะไรหุ้นไอพีโอก็จะซึมไปแบบนี้ รวมถึงในช่วงนี้ที่มีปัจจัยความไม่แน่นอนสูงทั้งสงคราม ดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้เม็ดเงินสภาพคล่องหายไป นอกจากนี้เม็ดเงินลงทุนใหม่ของนักลงทุนสถาบันก็ไม่มีเข้ามาจากที่ได้มีการยกเลิก LTF ยิ่งทำให้สัดส่วนการลงทุนหุ้นไอพีโอของนักลงทุนสถาบันหายไป เมื่อมีแต่นักลงทุนรายย่อยช่วงที่สภาวะตลาดไม่ดี เขาไม่มั่นใจที่จะถือลงทุนยาว ซึ่งต่างกับนักลงทุนสถาบันที่จะพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน และเป็นลักษณะการลงทุนที่ยาว