'เฟทโก้'ถกคลังสัปดาห์หน้า 'ตั้งกองทุนออมหุ้นระยะยาว'
“เฟทโก้”เตรียมเข้าพบรมว.คลังสัปดาห์หน้า หารือตั้งกองทุนออมหุ้นระยะยาว นายกสมาคมโบรกฯ ชี้ หนุนคนไทยออมเงิน -ช่วยรัฐลดค่าใช้จ่ายดูแลสูงวัย “นายกสมาคมนักวิเคราะห์” เผยช่วยลดความผันผวน-ตลาดทุนไทยมีเสถียรภาพ “บล.เอเซีย พลัส”ย้ำปัดฝุ่น LTFได้ประโยชน์สูงสุด
ตลาดหุ้นปีนี้ โดนสาระพัดปัจจัยลบเข้ามากดดัน และเป็นปัจจัยลบระดับ‘มหาภาค’ โดยเฉพาะการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอย่างต่อเนื่องที่ผ่านมาทำให้บอนด์ยีลด์ทั้งสหรัฐและไทยต่างปรับตัวขึ้นสูงกดดันการลงทุนหุ้นอย่างมาก และ ยังมีปัจจัยสงคราม รวมถึงปัจจัยในประเทศที่ยังไม่ชัดเจนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้สถานการณ์มหาภาคจะมีสัญญาณดีขึ้น แต่ตลาดหุ้นไทยยังไซด์เวย์ดาวน์ และมูลค่าการซื้อขายยังคงเบาบางระดับ 3-4 หมื่นล้านบาทต่อวัน ส่วนหนึ่งจากตลาดทุนไทยขาดเม็ดเงินลงทุนใหม่ที่เป็นเม็ดเงินลงทุนยาวเข้ามาลงทุน
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย รองประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) และนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย(สมาคมโบรกเกอร์) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้า เฟทโก้ จะเข้าหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (รมว.คลัง) เพื่อเสนอจัดตั้งกองทุนเพื่อการออมระยะยาวในตลาดหุ้นไทย เพราะ ทางเฟทโก้มองเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ ในการสนับสนุนให้ประชาชนออมเงินระยะยาวในตลาดหุ้นไทย จากประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แบบ
รวมถึงยังเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐด้วย เพราะแต่ละปีนั้นรัฐบาลใช้เงินดูแลผู้สูงอายุถือว่าอยู่ระดับที่สูง และอย่างในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ฯลฯ นั้นก็มีกองทุนลักษณะดังกล่าว ก็เป็นที่นิยม และทำให้ประชาชนมีการออมเงิน
“รายละเอียดการเสนอจัดตั้งกองทุนนั้น ก็มีหลายออปชั่นที่เราจะเสนอ แต่ก็ต้องรอทางคลังด้วยว่าทางคลังจะมีข้อเสนออย่างไร”
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการ เฟทโก้ และสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน(IAA) กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นแล้วว่า ตลาดหุ้นไทยขาดเม็ดเงินลงทุนระยะยาว ตั้งแต่มีการยกเลิกกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) ซึ่งจะเห็นว่าเม็ดเงินลงทุนยาวๆ มีสัดส่วนลดลงเรื่อยๆ
โดยหลังๆมานี้ก็จะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นไทยผวนผวนสูงมากและสูงกว่าหลายๆตลาดหุ้นในโลก เพราะ เมื่อมีปัจจัยลบเข้ามากระทบตลาดหุ้นไทยก็จะลงแรง เพราะไม่มีเงินทุนระยะยาว เข้ามาสนับสนุนตลาดหุ้นไทยเหมือนในอดีต ซึ่งถือเป็นจุดอ่อน และกองทุนต่างชาติที่เคยลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทยก็กลายเป็นกองทุนระยะสั้น จากที่นักลงทุนต่างชาติส่งคำสั่งซื้อขายมาก็เป็นโปรแกรมเทรดสัดส่วนที่สูงมากกว่า50%
ทั้งนี้เฟทโก้ จะเข้าหารือกับทางรมว.คลัง ว่าจะมีแนวทาง หรือจะทำอย่างไรได้บ้าง เพื่อเพิ่มเม็ดเงินลงทุนระยะยาวให้เข้ามาตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะมีการเสนอจัดตั้งกองทุนใหม่ขึ้นมา โดยมีหลายรูปแบบ ซึ่งจะมีแรงจูงใจในเรื่องของสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่ต้องแลกด้วยการลงทุนระยะยาว อย่างที่ผ่านมาที่มีการเสนอประมาณ 10 ปี
“มันชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าตลาดหุ้นไทยขาดเม็ดเงินลงทุนระยะยาว ซึ่งตอนนี้ก็เห็นชัดว่าวอลุ่มลด และพอดูเรื่องความผันผวนนั้นก็ผันผวนสูงมาก แค่นักลงทุนขาดความมั่นใจ หุ้นร่วงแรง ไม่เหมือนในอดีตที่มีเม็ดเงิน LTF เข้ามาซัพพอร์ต”
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวทางการฟื้นกองทุนLTF หรือแม้แต่การนำกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว(SSF) ที่จะหมดอายุในปี 2567 มาปรับปรุงนั้น มองว่า การเติมเม็ดเงินลงทุนสู่ตลาดหุ้นไทย ย่อมส่งผลดีต่อการขยับตัวขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยในระยะข้างหน้าอย่างมาก
ทั้งนี้ในระยะหลังพบว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยทั้งปีเทียบกับมูลค่าตลาดหุ้นไทย (Market Cap) ปรับตัวลดลงอย่างมาก และการที่จะทำให้ดัชนีหุ้นไทยขยับตัวสูงขึ้นก็เกิดขึ้นได้ยาก ขณะเดียวกันในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี2556-2566) เม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ยังไหลออกจากตลาดหุ้นไทยสูงถึง 930,000 ล้านบาท อยู่ในภาวะที่ขาดเม็ดเงินลงทุนที่มากพอ ในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทย ในขณะที่มาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นผลจากมีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อตลาดหุ้นไทยสูงสุด และมองว่ากองทุนดังกล่าว ต้องทำให้เกิดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในตลาดหุ้นไทย ระดับใกล้เคียงกับกองทุน LTF โดยตั้งแต่กองทุน LTF จัดตั้งครั้งแรกในเดือนส.ค. ปี 2547 และตั้งแต่ปี 2559 เปลี่ยนเงื่อนไขจาก 5 ปี มาเป็น 7 ปีปฏิทิน จนสิ้นสุดอายุในปี 2562 จะพบว่า เม็ดเงินลงทุนเข้ามาในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี และมีแรงซื้อกองทุน LTF มากที่สุดจนถึงระดับ 60,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะเข้ามามากในช่วงปลายปี โดยเฉพาะเดือนธ.ค. มากที่สุดราว 20,000 ล้านบาท
"การนำกองทุน LTF กลับมาจะเป็นประโยชน์ในทันที เพราะนักลงทุนมีความคุ้นเคย และเกี่ยวข้องกับหุ้นในตลาดทั้งระบบ ส่วนการจัดตั้งกองทุนใหม่ๆ เช่น การลงทุนเกี่ยวกับหุ้นยั่งยืน ก็เป็นประโยชน์ที่มาสนับสนุนเม็ดเงินลงทุน และเงินออมเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทยเติบโตได้ และทำให้ตลาดหุ้นไทยมีสีสันดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติได้เช่นกัน