เปิดพอร์ต ธนาคารกรุงเทพ ลงทุน 7 หุ้น SET100 มูลค่ารวมกว่า 3.1 หมื่นล้านบาท
เปิดพอร์ตการลงทุนของธนาคารกรุงเทพเข้าไปลงทุนในหุ้นSET 100 ด้วยกัน 7 หลักทรัพย์ รวมมูลค่า 31,039.75 ล้านบาท ด้าน "โบรก" เผย หุ้น BBL กำไรไตรมาส 4/ 66 เทียบไตรมาส 4 ปีก่อนหน้าเติบโตเพิ่มได้อีก หตุตั้งสำรองลดลง
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย (SET) ในกลุ่มธนาคาร จัดเป็นกลุ่มใหญ่ มีมาร์เก็ตแคปรวมสูง และเป็นที่นิยมจากนักลงทุนจำนวนมาก ล่าสุดเพิ่งจะประกาศผลประกอบการ Q3/66 และงบ 9 เดือน ปี 2566 ไปหมาดๆ ซึ่งธนาคารเหล่านี้นอกจากมีผลกำไรจากดอกเบี้ยให้กู้แล้ว ยังมีการนำเงินไปลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยอีกด้วย
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า กลุ่มธนาคารโดยภาพรวมมีความเคลื่อนไหวตามภาวะเศรษฐกิจ หลังจากนี้ข้อดีคือ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยยังทรงตัวในระดับสูงอยู่ แต่การขยายตัวของสินเชื่ออาจจะขึ้นอยู่กับการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีหน้า เพราะในปีนี้เศรษฐกิจค่อนข้างเติบโตได้น้อย มีการควบคุมการปล่อยสินเชื่อ เพื่อลดปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้เสียในระบบ อาจจะทำให้ NIM ขยายตัวจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย คล้ายกับการทำธุรกิจแล้วมาร์จิ้นขยายแต่รายได้ไม่โต
ทั้งนี้ ภาพของหุ้นกลุ่มแบงก์หากรัฐบาลเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ และทำให้จีดีพีกลับมาเร่งตัวขึ้นมาได้ จะสามารถทำให้รายได้กลับมาเติบโตได้ ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวในระดับนี้ไปก่อน เนื่องจากแบงก์ชาติยังไม่น่าที่มีการปรับลดลงอัตราดอกเบี้ยลงมาในเร็ว ๆ นี้ หากมีการปรับลดลงมาเร็ว ๆ อาจจะมีผลข้างเคียงไปกระตุ้นให้เกิดปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เร่งตัวขึ้นตามมา และมาลุ้นในฝั่งของสินเชื่อที่จะขยายตัวขึ้น
อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นความท้าทายในปีหน้าจีพีดีของไทยอาจจะได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านงบประมาณปี 2567 เพราะ ณ ขณะนี้ไม่สามารถใช้งบประมาณได้ตามปกติ แต่ก็ต้องคำนึงถึงเศรษฐกิจโลกด้วยว่าจะถดถอยมาและมากดดันเศรษฐกิจไทย
สำหรับธนาคารกรุงเทพช่วงที่ผ่านมาถือว่าดีที่สุด แต่แนวโน้มในไตรมาส 4/66 ภาพรวมส่วนใหญ่จะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง หากเทียบกับไตรมาส 4 กับไตรมาส 3 จะชะลอตัว หากเทียบเทียบไตรมาส 4 กับ ไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมาจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ช่วงปีที่ผ่านมามีการตั้งสำรองค่อนข้างมาก ส่วนปีนี้จะมีการตั้งสำรองลดลง
วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พายให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หุ้น BBL หลังจากที่ไตรมาส 3/66 ทำกำไรได้สูงสุดในกลุ่มธนาคาร ปัจจุบันยังคงแนะนำให้ซื้ออยู่ ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 203 บาท ซึ่งผลประกอบการของหุ้น BBL ตั้งแต่ต้นปีที่การเติบโตได้โดดเด่นมาก หากมาดูที่กำไรไตรมาส 3/66 กำไรอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท โต 4.8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และโต 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา
ทั้งนี้ หลัก ๆ ผลประกอบการ BBL ที่ดีมากจาก ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะ NIM ดีมาก ช่วงที่ผ่านมาแบงก์ชาติมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารพาณิชย์แต่ละที่ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ด้วย ส่งผลให้โมเมนตัมในไตรมาส 4/66 NIM น่าจะส่งผลดีต่อ
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการไตรมาส 4/66 หากเทียบกับไตรมาส 3/66 อาจจะอ่อนตัวลงมาบ้าง เพราะโดยปกติในไตรมาส 4 จะมีจ่ายใช้จ่ายค่อนข้างมาก โดยค่าใช้จ่ายหลัก ๆ เป็นจำพวกโบนัสพนักงานที่เข้ามาในไตรมาส 4 แต่ถ้าเทียบ YoY ถือว่ายังมีการเติบโตได้
ส่วนแนวโน้มปีหน้ายังคงเป็นไปในทิศทางที่ดี บริษัทฯ ได้ทำการกำไรของ BBL เติบโตประมาณ 14% และวันนี้ Valuation ถือว่าไม่แพงมาก เทรดที่ 0.5 เท่า ซึ่งคาดว่าจะเติบโตได้จากสินเชื่อที่ประเมินไว้ ตามเศรษฐกิจไทยหลังจากที่รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา เพราะคาดว่า ดิจิทัลวอเล็ตจะสามารถออกมาได้ในปีหน้า ซึ่งก็จะทำให้เม็ดเงินเศรษฐกิจดีขึ้น ก็จะมาช่วยหนุนการปล่อยสินเชื่อ
ทั้งนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” ได้สำรวจพอร์ตการลงทุนของธนาคารกรุงเทพเข้าไปลงทุนในหุ้นSET 100 ด้วยกัน 7 หลักทรัพย์ รวมมูลค่า 31,039.75 ล้านบาท
1.บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ถือหุ้นใหญ่อันดับ 7 จำนวน 303,448,709 หุ้น หรือ 1.99% ราคาปิด ณ วันที่ 6 พ.ย.66 ที่ 8.00 บาท มูลค่า 2,427.59 ล้านบาท
2.บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 จำนวน 53,243,344 หุ้น หรือ 6.70% ราคาปิด ณ วันที่ 6 พ.ย.66 ที่ 248.00 บาท มูลค่า 13,204.35 ล้านบาท
3.บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ BLA ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 จำนวน 161,564,380 หุ้น หรือ 9.46% ราคาปิด ณ วันที่ 6 พ.ย.66 ที่ 22.00 บาท มูลค่า 3,554.42 ล้านบาท
4.บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ถือหุ้นใหญ่อันดับ 6 จำนวน 38,950,000 หุ้น หรือ 2.30% ราคาปิด ณ วันที่ 6 พ.ย.66 ที่ 22.10 บาท มูลค่า 860.80 ล้านบาท
5.บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 จำนวน 270,905,264 หุ้น หรือ 4.83% ราคาปิด ณ วันที่ 6 พ.ย.66 ที่ 26.00 บาท มูลค่า 7,043.54 ล้านบาท
6.บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ถือหุ้นใหญ่อันดับ 10 จำนวน 75,000,000 หุ้น หรือ 2.50% ราคาปิด ณ วันที่ 6 พ.ย.66 ที่ 24.70 บาท มูลค่า 1,852.50 ล้านบาท
7.บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 จำนวน 935,966,761 หุ้น หรือ 8.36% ราคาปิด ณ วันที่ 6 พ.ย.66 ที่ 2.24 บาท มูลค่า 2,096.57 ล้านบาท