ดาวโจนส์บวกในกรอบแคบ บอนด์ยีลด์กดดันตลาด
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันจันทร์(6พ.ย.)ปรับตัวขึ้นในกรอบแคบ ขณะที่การซื้อขายถูกกดดันจากการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 34.54 จุด หรือ 0.10% ปิดที่ 34,095.86 จุด
- ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 7.64 จุด หรือ 0.18% ปิดที่ 4,365.98 จุด
- ดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 40.50 จุด หรือ 0.30% ปิดที่ 13,518.78 จุด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 34.54 จุด หรือ 0.10% ปิดที่ 34,095.86 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 7.64 จุด หรือ 0.18% ปิดที่ 4,365.98 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 40.50 จุด หรือ 0.30% ปิดที่ 13,518.78 จุด
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีททำการปรับเวลาซื้อขายหุ้นในตลาด เริ่มต้นจากวันนี้ โดยปรับเวลาช้าลง 1 ชั่วโมง หลังจากสิ้นสุดช่วง Daylight Saving Time
ตลาดเปลี่ยนแปลงเวลาซื้อขาย จากเดิม 20:30-03:05 น.ตามเวลาไทย เป็น 21:30-04:05 น.ตามเวลาไทย
การปรับเวลาซื้อขายหุ้นดังกล่าวนี้จะมีผลตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย. 2566 -10 มี.ค. 2567
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวเหนือระดับ 4.6% ในวันนี้ หลังปรับตัวลงต่ำกว่าระดับดังกล่าวในสัปดาห์ที่แล้ว โดยถูกกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว
นักลงทุนจับตาการกล่าวถ้อยแถลง 2 ครั้งของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดในสัปดาห์นี้เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ
ทั้งนี้ นายพาวเวลมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมวาระครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งแผนกสถิติและวิจัยของเฟดในวันที่ 8 พ.ย.เวลา 09.15 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือเวลา 21.15 น.ตามเวลาไทย โดยการประชุมดังกล่าวจะมุ่งเน้นความเป็นมาในอดีต และปัจจุบัน รวมทั้งอนาคตของแผนกดังกล่าว
อย่างไรก็ดี คาดว่าตลาดจะให้ความสำคัญต่อถ้อยแถลงของนายพาวเวลในงานเสวนา 24th Jacques Polak Annual Research Conference ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ในวันที่ 9 พ.ย.เวลา 14.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือวันที่ 10 พ.ย.เวลา 02.00 น.ตามเวลาไทย ในหัวข้อ "Monetary policy challenges in a global economy" หรือ "ความท้าทายของนโยบายการเงินในเศรษฐกิจโลก" ซึ่งนายพาวเวลมีกำหนดตอบคำถามเกี่ยวกับนโยบายการเงินของเฟดจากผู้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมักปรับตัวขึ้นในเดือนพ.ย. ก่อนที่จะพุ่งขึ้นต่อเนื่องในเดือนธ.ค.จากปรากฎการณ์ "ซานต้า แรลลี่"
ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นยังได้รับปัจจัยบวกเพิ่มเติมในเดือนพ.ย.ปีนี้ ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่าเฟดได้ยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว หลังจากที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 11 ครั้งนับตั้งแต่ที่เริ่มวัฏจักรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.2565 ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 5.25%
นักลงทุนเทน้ำหนักในการคาดการณ์ว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่ต่ำกว่าคาด และคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนพ.ค.2567 เร็วขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.2567
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 90.2% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 12-13 ธ.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเดือนม.ค.และเดือนมี.ค.ของปี 2567 ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเดือนพ.ค. หลังจากก่อนหน้านี้คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.