KCG ลั่นไตรมาส 4 ช่วงไฮซีซัน หนุนรายได้โตตามเป้า
KCG กวาดกำไรไตรมาส3/66 กว่า 55 ล้าน ขยายตัว 10.5% หนุนงวด 9 เดือนกำไรพุ่งเฉียด 30% รุกไตรมาส 4 รับเทศกาลเฉลิมฉลองดันรายได้ตามเป้า
ดร.วาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ผู้นำธุรกิจผลิต จัดจำหน่าย และนำเข้าเนย ชีส และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคชั้นนำจากทั่วโลก เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2566 สิ้นสุด 30 ก.ย.2566) บริษัทมียอดขาย 1,681.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.9% และมีกำไรสุทธิ 55.3 ล้านบาท เติบโต 10.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ผลิตภัณฑ์อาหารตะวันตก และเบเกอรี่ในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์สามารถเติบโตได้ดี รวมถึงช่องทางการจำหน่ายให้ผู้ประกอบการ (B2B) ช่องทางการจำหน่ายให้ผู้บริโภค (B2C) และส่งออก ล้วนมีอัตราการขยายตัวที่ดี เนื่องจากความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารตะวันตก และเบเกอรี่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ และโภชนาการ อีกทั้งเป็นผลจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค
ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 29.9% โดยภาพรวมราคาต้นทุนวัตถุดิบ และสินค้าเพื่อจำหน่ายทยอยปรับตัวลดลงนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงการบริหารจัดการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ
ส่งให้ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ทำกำไรสุทธิ 164.5 ล้านบาท เติบโต 29.3% และมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 4,949.9 ล้านบาท เติบโต 17.1% เป็นผลจากการเติบโตของทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์
โครงสร้างรายได้ เมื่อแยกตามผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมมีรายได้ 2,951.5 ล้านบาท เติบโต 17.2% ผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหาร และเบเกอรี่ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีรายได้ 1,482.6 ล้านบาท เติบโต 16.9% และผลิตภัณฑ์บิสกิตมีรายได้ 515.8 ล้านบาท เติบโต 17.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนรายได้ที่มาจากช่องทางการจำหน่ายในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวได้ดี โดยช่องทางการจำหน่ายให้ผู้ประกอบการ (B2B) มีรายได้อยู่ที่ 2,088.0 ล้านบาท เติบโต 16.2% ช่องทางการจำหน่ายให้ผู้บริโภค (B2C) มีรายได้ 2,638.7 ล้านบาท เติบโต 17.9% และการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ มีรายได้อยู่ที่ 223.3 ล้านบาท เติบโต 16.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อีกทั้งยังมีปัจจัยสนับสนุนจากบริษัทย่อย ได้แก่ อินโดกูนา (ประเทศไทย) จำกัด หรือ IDG ซึ่งดำเนินธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าประเภทอาหารแช่แข็ง เช่น เนื้อ ล็อบสเตอร์ และโคลคัท เข้ามาเสริมพอร์ตโฟลิโอของบริษัท ให้มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยผลักดันให้รายได้รวมเติบโตเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ดร.วาทิต กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจไตรมาส 4 บริษัทจะเพิ่มการผลิตสินค้าในกลุ่มเนย และชีส กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหารและเบเกอรี่ รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิต เพื่อรองรับความต้องการซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่ และรองรับการจับจ่ายใช้สอยจากภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร จัดเลี้ยง (HORECA) ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
ส่งผลให้ความต้องการสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์เนย ชีส และผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาจากนม กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรี่ รวมทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิต (Biscuits) เพิ่มขึ้นตามไปด้วย จะช่วยผลักดันอุตสาหกรรมอาหารตะวัน และเบเกอรี่ให้เติบโต ในขณะที่ในปีนี้แนวโน้มราคาวัตถุดิบยังคงมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทมั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปี 2566 จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย
นอกจากนี้ บริษัทได้เดินหน้าขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ชีสในรูปแบบห่อเดี่ยว (Individually Wrapped Processed Cheese Slices: IWS) เพิ่มจาก 2,106 ตัน เป็น 4,212 ตันต่อปี เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งจะสามารถรองรับการเติบโตได้อีก 3-5 ปีข้างหน้า IWS เป็นผลิตภัณฑ์ที่ตลาดมีความต้องการในการบริโภคสูง รวมถึงบริษัท สามารถสร้างการบริโภคในรูปแบบใหม่ๆ ได้อย่างหลากหลาย ซึ่งจะเป็นส่วนสนับสนุนยอดขายของบริษัท ให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ส่วนความคืบหน้าศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า KCG Logistics Park กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างจำนวน 6 อาคาร ประกอบด้วย อาคารจัดเก็บและศูนย์สินค้าแบบแช่แข็ง (Frozen) จำนวน 2 อาคาร อาคารจัดเก็บและศูนย์สินค้าแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient) จำนวน 3 อาคาร และอาคารจัดเก็บวัตถุดิบแป้งและน้ำตาล จำนวน 1 อาคาร
คาดว่าอาคาร Ambient จะแล้วเสร็จ และพร้อมใช้งานได้ในไตรมาส 1/2567 และจะเสร็จสมบูรณ์ทั้งโครงการในช่วงไตรมาส 2/2567 ซึ่งจะช่วยให้สามารถบริหารจัดการสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยลดค่าใช้จ่ายการเช่าคลังสินค้าภายนอกได้อย่างมีนัยสำคัญในอนาคต
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์