จี้ "ก.ล.ต. -ตลท." เปิดข้อมูล SBL -short sell รายวันหลังรายย่อยนัดหยุดเทรด
ภาวะความไม่เชื่อมั่นและเรียกร้องการทำหน้าที่ "บทบาทเพื่อรายย่อย" ให้เต็มทีมากกว่านี้ ของหน่วยงานในตลาดหุ้นไทยหลังมีการส่งข้อความต่อๆ กันในโลกโซเซียล ระบุถึง รายย่อยในตลาดหุ้นไทยแสดงจุดยืน
“นักลงทุนรายย่อยรวมพลัง ประกาศพร้อมใจกันนัดหยุดเทรดหุ้นทุกโบรก 20 พ.ย. นี้ เซ่นวิกฤตความเชื่อมั่น หลัง ก.ล.ต. ไร้น้ำยา ไม่แยแสกับการจัดการปัญหา short sell”
ข้อความดังกล่าวเกิดขึ้นหลัง 3 หน่วยงาน กระทรวงการคลัง – ก.ล.ต. และ ตลท. หารือร่วมกันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน จนมาเคาะเบื้องต้นจัดตั้งกองทุน TESG วงเงินลงทุนไม่เกิน 100,000 บาท/ราย ระยะเวลา 8 ปี เริ่มภายในเดือน ธ.ค.นี้ เพื่อสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในฐานปี 2566 ได้ทันที พร้อมเสนอ ครม. พิจารณาในสัปดาห์หน้า
"สวนทางกับเสียงตอบรับในตลาดหุ้น" วัดจากดัชนีหุ้นไทยปรับตัวติดลบตลอดทั้งวัน จนมาปิดตลาดที่ 1,384.04 จุด ลดลง 1.09 จุด เปลี่ยนแปลง 0.08 % มูลค่าการซื้อขาย 47,585.65 ล้านบาท
ต้นตอของปัญหา รวมพลังของรายย่อยมาจากการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของตลาดหุ้นไทย ที่ตลาดหุ้นในต่างประเทศปรับตัวลง ตลาดหุ้นไทยลงมากกว่า หรือ ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวขึ้นแต่ไทยปรับปรับตัวสวนทางลดลง จนตั้งแต่ต้นปี SET ผลตอบแทน -16 % ติดอันดับผลตอบแทนน้อยที่สุดของตลาดหุ้นโลก
ภาพรวมปัญหาได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว –ดอกเบี้ยขาขึ้น – สงคราม –ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ตลาดหุ้นไทยกลับมีปัญหาเฉพาะจากภาวะการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้จากการตกแต่งบัญชี ภาวะการลงทุนในหุ้นไอพีโอที่ต่ำจองปัญหา ตั้งราคาหุ้นแพงเกินแวลู กระจายหุ้นไม่เป็นธรรม และการเทขายหุ้นจำนวนมากจากผู้ที่ได้รับการจัดสรร
รวมทั้งปัญหาการ Short sell ที่มีการตั้งคำถามถึงเครื่องมือผ่าน High-Frequency Trading (HFT) และ Robot Trade ที่เอาเปรียบรายย่อย ด้วยจำนวนเงินที่มากกว่า –เทคโนโลยีที่ดีกว่า แต่กลับสามารถทั้ง Short sell และ SBL ได้ไม่มีลิมิต จนทำให้รายย่อยเผชิญเวลท์หดหายจนขาดทุนเพราะไม่มีวันเอาชนะเครื่องมือเหล่านี้ได้เลย
แวดวงโบรกเกอร์มองว่าเป็นปรากฎการณ์ที่รายย่อยแสดงพลังงานที่ชัดเจนและ "ทนไม่ไหว" กับสิ่งที่เกิดขึ้นตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่า “ธุรกรรม Short sell ปกติ” ทั้งที่เมื่อแยกตามข้อมูลออกมาจะพบว่าปริมาณเพิ่มขึ้นแบบมีนัยสำคัญต่อรายย่อย จาก SBL มีสัดส่วน 11 % จากช่วงโควิดอยู่ที่ 7 % และผู้ที่ใช้ 80% คือต่างชาติ แต่ละโบรกจะไม่เห็นข้อมูลแต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเห็นภาพรวมทุกอย่าง ถ้าจะให้มีความโปร่งใส่ ลดกระแสข่าวลือ สร้างความเชื่อมั่นได้ต้องออกมาเปิดเผยข้อมูลในส่วนนี้แบบรายวันให้นักลงทุนรับรู้ไม่จำเป็นต้องปกปิด
สามารถระบุแยกประเภทได้ว่าการซื้อขายมาจากการ SBL และ short sell เท่าไร มีสัดส่วนผ่าน HFT หรือ Robot Trade เป็นอย่างไร เพื่อเกิด Fair Game ให้ทุกกลุ่มนักลงทุนไม่ใช่ ปกปิดข้อมูลด้วยการไม่รายงานและแจ้งแค่การซื้อขายปกติ ทั้งที่ความเคลื่อนไหวหุ้นรายตัวมีการตั้ง Offer ที่ผิดปกติ
“หุ้น 5 อันดับแรกที่มีการซื้อขายสูงสุด หุ้นใหญ่ก็โดน เช่น PTT – BDMS สัดส่วนถูก SBL ถึง 20-30 % ของหุ้น Offer เท่ากันทีละ 10 ล้านหุ้น 5-10 ออร์เดอร์ ภายใต้ราคาหุ้นปรับตัวลง ทำได้ต้องใช้ Robot Trade และเสียค่าคอมในอัตราที่ถูกเพราะเม็ดเงินจำนวนมาก โบรกที่รับออร์เดอร์ได้วอลลุ่มดันมาร์แชร์อันดับ 1ตอนนี้ แต่รายย่อยถูกสูบไปเรื่อยๆ และหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่ปกป้อง-ดูแล ”