'ภากร' เร่งยกระดับตลาดทุนไทย ดึงผู้เชี่ยวชาญระดับโลกให้ความเห็น พร้อมรับโลกอนาคต
‘ภากร’เร่งยกระดับตลาดทุนไทย ปรับวิธีการทำงาน-เกณฑ์'หนุนตลาดหุ้นไทยโตต่อได้อีกในอนาคต จ่อดึงผู้เชี่ยวชาญ-ตลาดหลักทรัพย์ระดับโลกให้ความเห็น เตรียมพร้อมสำหรับโลกอนาคต
ในช่วง1-2เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะนักลงทุนบุคคล อยู่ในภาวะ"ขาดความเชื่อมั่น" ในการลงทุน หลังจากที่“ดัชนีหุ้นไทย”ลงมาอย่างต่อเนื่อง และลงแรงเกือบจะที่สุดในโลก มีการตั้งคำถามว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร ทั้งๆที่ประเทศไทยเศรษฐกิจยังเติบโต ฐานะการเงินและการคลังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี แม้จะมีความไม่แน่นอนการแจกเงินดิจิทัล
ทว่าก็มีการตั้งข้อสังเกต หรืออาจจะเป็นเพราะ โปรแกรมเทรดที่ปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายที่ส่งผ่านโปรแกรมเทรดเพิ่มมากขึ้นแตะระดับ 40% จากปี 2562 อยู่ที่ 20% หรืออาจเป็นเพราะธุรกรรมชอร์ตเซล ซึ่งเป็นช่องทางของนักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นไทยขาลงได้ แต่ประเด็นสำคัญ คือขายชอร์ตแล้วจะมีหุ้นอยู่ในครอบครองก่อนหรือไม่
สำหรับ2 ประเด็นดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นประเด็นที่พูดถึงกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนปรากฏข่าวว่านักลงทุนบุคคลจะรวมตัวกันหยุดซื้อขาย(เทรด)หุ้นในวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา ทำให้หน่วยงานกำกับการซื้อขายของตลาดหุ้นไทย “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)” ต้องออกมาแถลงข่าวด่วนๆและติดต่อกันหลายวัน เพื่อชี้แจงประเด็นที่นักลงทุนมีความกังวล
รวมถึงมีการปรับเกณฑ์ และออกเกณฑ์เพิ่มอย่างทันควัน ทั้งการสั่งให้โบรกเกอร์รายงานธุรกรรมชอร์ตเซลของลูกค้าภายใน15 วัน ว่าลูกค้าที่ส่งคำสั่งขายชอร์ตมีหุ้นในครอบครองหรือไม่ หากไม่สามารถแจ้งได้ทันก็จะสันนิษฐานว่าเป็น Naked Short Sellingก่อน รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลรายวัน ทั้งมูลค่าการซื้อขายโปรแกรมเทรด และมูลค่าการซื้อขายโปรแกรมเทรดเป็นรายหุ้น
ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ให้สัมภาษณ์พิเศษกับกรุงเทพธุรกิจว่า ตลาดหุ้นไทยมีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเชิงลึกและเชิงกว้าง ซึ่งมี “หุ้นไอพีโอ” และจำนวนนักลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็หลากหลายมากขึ้น
แต่สิ่งที่เราเห็นมาตลอดคือ กฎเกณฑ์ต่างๆของตลาดหลักทรัพย์เป็นแบบนี้มาเป็นระยะเวลาเป็น10 ปีๆ ไม่ได้มีการแก้ไขมากนัก และสิ่งที่เราพบ ก็คือ วิธีการทำงานและขั้นตอนการทำงานอาจจะไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน รวมถึงกฎเกณฑ์บางอย่างก็อาจจะไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันเช่นกัน เพราะ โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว
“โลกมันเปลี่ยนไปเราก็ต้องปรับตัว จะไม่ปรับตัว ไม่ทำอะไรใหม่ มันเป็นไปไม่ได้ ในช่วง1-2 ปีที่ผ่านมา ผมพูดมาตลอดว่า นักลงทุนต้องดูข้อมูลเยอะๆ ระวังตัวให้ดี เพราะโลกไม่ง่ายเหมือนเดิมแล้ว”
โดยที่ผ่านมาตนเองก็เคยพูดมานานแล้วว่า จะต้องมีการสังคายนาตลาดทุนไทย ดังนั้นวิธีการทำงาน การวิเคราะห์ข้อมูลต้องวิเคราะห์ไม่เหมือน ต้องมีการใช้ข้อมูลที่มากขึ้น แต่ไม่ใช่เป็นการปรับเกณท์ทีละข้อ แต่จะต้องปรับเป็นภาพรวม ซึ่งตรงไหนปรับได้เร็วก็ปรับไปก่อน แต่ต้องไปตามภาพใหญ่ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนทุกองค์กรเห็นไปในทิศทางเดียวกันและร่วมมือกันการดำเนินการตรวจสอบ เพราะตลาดหลักทรัพย์กำกับและลงโทษได้เฉพาะบริษัทหลักทรัพย์(โบรกเกอร์)เท่านั้น
ภากร กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าเราจะทำตัวและทำงานเหมือนเดิม ใช้กฎเหมือนเดิม ดูข้อมูลเดิมๆไม่ได้ ตลท.มีข้อมูลทั้งหมดอยู่แล้ว แต่วิธีที่เราเคยเผยแพร่ เพราะเมื่อก่อนเราเป็นแบบนี้ แต่นี่ถือเป็นเรื่องที่ดี ที่นักลงทุนออกมาบอกว่าต้องการให้เปิดเผยข้อมูลอะไรเพิ่ม ตลท.ก็ยินดีที่จะเปิดเผยข้อมูลให้
นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่ทุกคนในตลาดทุนไทยเห็นแล้วว่า เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนการทำงาน เพื่อทำให้ในอีก 5-10 ปีข้างหน้าตลาดหุ้นไทยโตต่อไปได้
“จะเห็นว่าเรามีการแจ้งเตือนนักลงทุน และให้บจ.เปิดเผยข้อมูลมากขึ้น แน่นอนการปรับต้องปรับเป็นภาพรวม และปรับเป็นย่อยๆ อันไหนปรับย่อยๆได้ก่อน ก็ทำไปก่อน"
ทั้งนี้เราจะดึง third party ซึ่งจะเป็นหน่วยงานระดับโลก เข้ามาverify ว่าตลาดหุ้นไทยมีการดำเนินงานตรงไหนที่เป็นมาตรฐานระดับโลก(Global standard)แล้วบ้าง ซึ่งปัจจุบันระบบการทำงานการกำกับการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ก็เป็นระดับ Global standard อยู่แล้ว เพราะถ้าเราไม่ทำงานแบบ Global standardนั้น นักลงทุนต่างประเทศก็คงไม่เข้ามาลงทุนตลาดหุ้นไทยเยอะขนาดนี้ รวมถึงจะเข้ามาช่วยดูตรงไหนที่จะสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นไปอีกได้บ้าง
ภากร กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ก็จะมีการเชิญตลาดหลักทรัพย์ระดับโลกเข้ามาให้คำแนะนำเพิ่มเติม เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับโลกอนาคต
“ตลท.จะดึง third partyระดับโลก เข้ามาverify การดำเนินงานตรงไหนต้องมีทำไรเพิ่ม รวมถึงเชิญตลาดหลักทรัพย์ระดับโลกมาให้คำแนะนำเพื่เตรียมพร้อมสำหรับโลกอนาคต"
ส่วนกรณีการปรับเกณฑ์NVDR หรือใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย โดยจะห้ามไม่ให้คนไทยซื้อขายหุ้นผ่าน NVDR ซึ่งในเรื่องนี้ตลาดหลักทรัพย์ได้มีการพิจารณามานานมากแล้ว เพราะวัตถุประสงค์หลักของNVDR คือเพื่อกระตุ้นการลงทุนและเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดหลักทรัพย์และเป็นทางเลือกหนึ่ง สำหรับนักลงทุนชาวต่างประเทศ ที่สนใจลงทุนในบริษัทจดทะเบียน แต่อาจไม่สามารถลงทุนในหลักทรัพย์นั้นได้ เพราะการควบคุมสัดส่วนการถือครองหลักทรัพย์ของคนต่างด้าวที่ระบุไว้ตามกฎหมายไทย
ท้ายสุด ภากร กล่าวว่า จากนี้ก็จะเห็นตลาดหลักทรัพย์จะมีการปรับเกณฑ์ต่างๆเรื่อยๆ ซึ่งก็มีการรับฟังความคิดเห็น(เฮียริ่ง) โดยหากเฮียริ่งเสร็จและมีการสรุปความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนไทยแล้ว ก็จะเสนอต่อคณะกรรมการ(บอร์ด)ตลาดหลักทรัพย์พิจารณา หลังจากนี้ก็จะเสนอไปยังก.ล.ต.เพื่อขอความเห็นชอบต่อไป