‘รายย่อย’ หมดหวังหุ้นจีน จ่อขาดทุนสามปีติด-ยอดฝากเงินพุ่งเฉียด 700 ล้านล้านบาท

‘รายย่อย’ หมดหวังหุ้นจีน จ่อขาดทุนสามปีติด-ยอดฝากเงินพุ่งเฉียด 700 ล้านล้านบาท

"นักลงทุนรายย่อยจีน" ไร้ศรัทธาตลาดหุ้นหลังดัชนี CSI 300 จ่อขาดทุนติดต่อกันเป็นปีที่สามจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ขณะที่ ณ สิ้นเดือนพ.ย. เงินออมรวมของครัวเรือนทําสถิติสูงสุดใหม่ 134.6 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 700 ล้านล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้น 14.7 ล้านล้านหยวนในปีนี้

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานวันนี้ (19 ธ.ค.) ว่า นักลงทุนรายย่อยของจีนเริ่มให้ความสนใจกับการลงทุนใน "กองทุนรวม" น้อยลง แม้ว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความนิยมอย่างมากเพื่อกักตุนเงินสด

โดยข้อมูลจากที่ปรึกษาทางการเงิน Z-Ben Advisors Ltd. เปิดเผยว่า จํานวนเงินที่กองทุนรวมระดมทุนใน 2566 ลดลงต่ำสุดในรอบทศวรรษ โดยพอร์ตการลงทุนใหม่มูลค่า 1.52 แสนล้านหยวน (21 พันล้านดอลลาร์) ที่ออกจนถึงสิ้นเดือนพ.ย อยู่ที่ประมาณครึ่งหนึ่งของยอดรวมของปีที่แล้ว ซึ่งนับเป็นการลดลงสามปีติดต่อกัน

ยอดออกกองทุนของจีนต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เพราะดีมานด์หด ทั้งหมดนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนรายย่อยกระตือรือร้นที่จะมอบเงินออมให้กับผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ

 

โดย ในปีนี้ครัวเรือนลังเลที่จะรับความเสี่ยงมากขึ้นเนื่องจากความไม่แน่นอนหลังโควิดเกี่ยวกับการจ้างงานและราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงผลักดันให้เหล่านักลงทุนรายย่อยจัดลําดับความสําคัญของการชําระคืนจํานอง (Mortgage Repayments) ก่อนกําหนดและการออมเงินสด

ภาวะดัชนี CSI 300 ของจีน (19 ธ.ค. 2566) ในขณะเดียวกันดัชนี CSI 300 มีแนวโน้มที่จะขาดทุนต่อเนื่องเป็นปีที่สาม ขณะที่ที่ผ่านมากองทุนต่างประเทศขายสุทธิหุ้นจีนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์และนโยบายของรัฐบาลถือว่าไม่เพียงพอหรือไม่มีประสิทธิภาพ

 

นอกจากนี้ ณ สิ้นเดือนพ.ย. 2566 เงินออมรวมของครัวเรือนจีนทําสถิติสูงสุดใหม่ 134.6 ล้านล้านหยวน ซึ่งเพิ่มขึ้น 14.7 ล้านล้านหยวนในปีนี้

ด้านหวัง ลู่ (Wang Lu) นักวิเคราะห์จากศูนย์ประเมินและวิจัยกองทุนของ Shanghai Securities Co. กล่าวว่า บริษัทจัดการกองทุนสามารถทําได้มากที่สุดคือการเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว 

 "การขาดทุนในหุ้นเป็นเวลาสามปีนั้นหายากแม้ในบริบทระดับโลก และหากไม่มีผลตอบแทนจากตลาดในปีหน้า วิธีเดียวที่จะแก้ไขปัญหานี้คือการปรับปรุงความเชื่อมั่นของตลาด"

อ้างอิง

Bloomberg