ขายหุ้น "วินด์" ปมแตกหัก "วิษณุ - ประเดช"
กรรมการ - ผู้ถือหุ้น งัดข้อคัดค้านขายหุ้น วินด์ "ประเดช" ยื่นฟ้องศาล ด้าน NUSA รับรายใหญ่ - ทุนหนา สนใจซื้อหุ้นวินด์แล้ว
รายการขายสินทรัพย์ครั้งใหญ่ของ บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น เมื่อมีการฟ้องร้องต่อศาลแพ่งยับยั้งมติขายสินทรัพย์ดังกล่าวจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่และกรรมการด้วยกันเองที่สำคัญยังเกี่ยวพันไปการขายหุ้น บริษัทพลังงานรายใหญ่ “วิน เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง” หรือ WEH อีกด้วย
การออกมาโต้แย้งในครั้งนี้ “ ประเดช กิตติอิสรานนท์” เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2 (8.70%) พร้อมพวกรวม 6 รายที่เป็นกรรมการ NUSA เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง NUSA และกรรมการที่เหลือ 7 คน นำโดย “วิษณุ เทพเจริญ” และขอให้ศาลสั่งเพิกถอนมติคณะกรรมการบริษัทจำหน่าย สินทรัพย์ของ NUSA มูลค่ารวมมากกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงเกือบ 70% ของทรัพย์สินทั้งหมดของ NUSA ที่มีมูลค่า 1.6 หมื่นล้านบาท
โดยระบุไม่มีแผนรองรับที่ชัดเจน และสั่งห้ามไม่ให้กรรมการอนุมัติขายทรัพย์สินทั้ง 6 รายการจนกว่าจะได้รับการพิจารณาอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นเเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ปกป้องผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อย
เมื่อไล่ดูสินทรัพย์ที่มีการเทขายออกมาตามมติบอร์ด 7 ธ.ค. 2566 ประกอบไปด้วยที่ดิน ชลบุรี ภูเก็ต นครราชศรีมา และยังรวมไปถึงขายหุ้น WEH ที่ซื้อก่อนหน้านี้ทั้งหมด 7.7 ล้านหุ้น มูลค่า 3,373 ล้านบาทอีกด้วย!!
ชื่อ ประเดช กิตติอิสรานนท์ ผูกพันแน่นหนึบเสมือน 'กล่องดวงใจ' ยักษ์ใหญ่พลังงานลม WEH จากการเข้าซื้อหุ้นลงทุนช่วงปี 2560 มูลค่า 5,900 ล้านบาท ราคาหุ้นละ 410 บาท มีเงื่อนไขชำระเงิน 50 % ในวันโอนหุ้นส่วนที่เหลือชำระเมื่อได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) จนมีนักลงทุนเข้าร่วมลงขันถึง 32 คน แต่จนแล้วจนรอด WEH ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้จากคดีความที่ยังต่อสู้กันในชั้นศาลของผู้ถือหุ้นอีกกลุ่มหนึ่ง
ปรากฎปี 2566 NUSA เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง WEH ด้วยการเข้าซื้อหุ้น 8.04 % หรือ 3,545 ล้านบาท จากนั้นมีแผนเพิ่มทุนครั้งใหญ่ 1.3 หมื่นล้านบาท เพื่อนำไปแลกหุ้นกับกลุ่มผู้ถือหุ้น 40 รายในกลุ่ม T1 ที่ถือหุ้น WEH โดยกลุ่ม T1 จะเข้ามาถือหุ้นใน NUSA สัดส่วนราว 40% และกลุ่ม ”เทพเจริญ” จะมีสัดส่วนการถือหุ้นใน NUSA ลดลงเหลือ 10%
หนทางดังกล่าวกลับไม่สามารถผ่านไปได้เมื่อ ก.ล.ต. และ ตลท. สกัดทักท้วงเข้าข่ายจดทะเบียนทางอ้อม (Backdoor Listing) จน NUSA ต้องยอมยกเลิกการเพิ่มทุนด้วยการ swap และปรับเป็นเกณฑ์ Backdoor Listing ซึ่งจะมีความเข้มงวดจากการยื่นไฟลิ่งใหม่เสมือนเป็นหุ้นไอพีโอ
ระหว่างปี 2566 NUSA มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นชัดเจน มาเป็นกลุ่ม “กิตติอิสรานนท์” ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้ง บริษัท ธนา พาวเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 (24.98%) บริษัท ดีดี มาร์ท โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ถือหุ้นอันดับ 3 (7.75%) และยังไม่นับรวมกลุ่มครอบครัวเข้ามาถือหุ้น เรียกได้ว่า NUSA กลายเป็นอีกหนึ่งในธุรกิจของครอบครัวไปแล้ว
ถึงขนาดดึง ณัฐพศิน เชฎฐ์อุดมลาภ อดีตซีอีโอ WEH มานั่งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NUSA แทน วิษณุ เทพเจริญ ที่ลาออกจากตำแหน่ง ตั้งแต่ 3ต.ค. แต่ปรากฎยังไม่มีการรับรองใดๆตามมติ และให้ซีอีโอเดิมเข้ารักษาการไว้ก่อน 7 ธ.ค. พร้อมมติบอร์ดที่เป็นกรณีฟ้องร้องตามมา
ศิริญา เทพเจริญ กรรมการ และ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ “ แปลกใจทำไมมีการฟ้องร้อง เพราะในที่ประชุมบอร์ดทุกคนอยู่ร่วมกันและรับทราบมติที่ออกมา จนบริษัทต้องมีการออกมาชี้แจรายงานการประชุมเพิ่มเติมว่าการขายดังกล่าวเป็นการเพิ่มสภาพคล่องและแก้ไขปัญหาภาระดอกเบี้ย แต่การออกมาทำให้เกิดเป็นข่าวน่าจะเกรงรายการขายหุ้น WEH ทั้งหมด เพราะขายได้เร็วกว่าและมีทุนใหญ่สนใจติดต่อซื้อเพราะได้รับเงินปันปีนี้เลย 160 ล้านบาท
“รายการขายสินทรัพย์ 6 รายการที่ขายได้ง่ายที่สุดหุ้น WEH เนื่องจากขายตามราคาได้มาจากมูลค่าก่อนหน้านี้ 3,300 ล้านบาท อยู่ที่ 3,100 ล้านบาทแต่รวมปันผล 160 ล้านบาทด้วย ซึ่งมีทุนใหญ่ กำลังเจรจาสนใจซื้อ หากได้เงินมาแล้วยิ่งทำให้บริษัทมีสภาพคล่องลดขาดทุนสะสมทันที 3,400 ล้านบาท ”
อย่างไรก็ตามการดำเนินการขายในครั้งนี้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์กฎหมายและผ่านมติที่ประชุมบอร์ด ซึ่งระบุไว้ว่าเป็นการขายรายการใดรายหนึ่งจากทั้งหมดเพื่อให้เพียงพอต่อภาระหนี้ดอกเบี้ย เงินกู้ยืมจากประเทศจีน อยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วนหุ้นกู้อยู่ที่ 200 ล้านบาท เฉพาะแค่ 6 รายการมูลค่า 1 หมื่นล้านบาท เทียบกับสินทรัพย์ทั้งหมด 2 หมื่นล้านบาท บริษัทไม่ได้มีผลกระทบด้านธุรกิจหลักแต่อย่างใดเพราะที่ดินที่ขายเป็นที่ดินเปล่า