SET index ผ่านจุดต่ำสุด แสงสว่างอยู่ในปี 2567
SET Index ได้ปรับตัวลงมาทำจุดต่ำสุดบริเวณ 1,354.73 จุด ในช่วงกลางเดือนธันวาคม เป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ และตลาดหุ้นไทยปี 2567 ที่กำลังจะถึงนี้ จะสดใสขึ้นสอดคล้องไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจ
เดินทางมาถึงเดือนสุดท้ายของปีที่เรียกได้ว่าเป็นอีกปีที่เรื่องของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้นค่อนข้างลำบาก โดยในปีนี้ดัชนี SET Index ได้ทำจุดสูงสุดที่ราว 1,695.99 จุด ในช่วงกลางเดือนมกราคม โดยระหว่างปีก็เรียกได้ว่าปรับตัวลงมาตลอดทางจากทั้งปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจมหภาค ปัญหาสงคราม การเมืองในประเทศ วิกฤติศรัทธาความเชื่อมั่นในตลาดบ้านเรา โดย SET Index ได้ปรับตัวลงมาทำจุดต่ำสุดบริเวณ 1,354.73 จุด ในช่วงกลางเดือนธันวาคม และคาดว่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี 2566 นี้ การปรับตัวลงของดัชนีจากจุดสูงสุดลงมาจุดต่ำสุดในรอบปีคิดเป็นอัตราการเปลี่ยนแปลงมากกว่า 20% โดยนิยามจึงเรียกได้ว่าตลาดหุ้นบ้านเราได้เข้าสู่ภาวะตลาดหมีเป็นที่เรียบร้อย อย่างไรก็ตามบรรยากาศการลงทุนเริ่มกลับมาคึกคักมากขึ้นหลังได้รับอานิสงส์เชิงบวก หลัง Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ยและส่งสัญญาณปรับลดอย่างน้อย 3 ครั้งในปีหน้า
ก่อนหน้านี้บรรยากาศการลงทุนบ้านเราดูจะไม่ค่อยสดใสเท่าไรนัก อันเนื่องมาจากทั้งปัจจัยภายในประเทศเราเองและปัจจัยภายนอก อย่างไรก็ดีภายหลังผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ นายเจอโรม พาวเวล ได้ส่งสัญญาณยุติการขึ้นดอกเบี้ยชัดเจน และเจ้าหน้าที่เฟดปรับคาดการณ์ (Dot Plot) มาเป็นการลดดอกเบี้ยในปี 2567 ถึง 3 ครั้ง มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 2 ครั้ง กดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (บอนด์ยีลด์) ปรับลง และเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลง ซึ่งเป็นบวกต่อการลงทุนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ประกอบกับนักลงทุนคาดหวังเม็ดเงินจากกองทุน ThaiESG และ SSF ที่จะเข้ามาสนับสนุนทำให้ดัชนีบ้านเราเรียกว่าได้รับอานิสงส์เชิงบวกค่อนข้างมาก เพราะว่าก่อนหน้าเหตุการณ์นี้ไม่นานบรรยากาศการซื้อขายไม่สู้ดีนัก ดัชนีปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดใหม่ของปี และปริมาณซื้อขายเบาบาง
ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของดัชนีถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการลงทุนในปี 2567 ที่กำลังจะมาถึง โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้มีการเปิดเผยผลสำรวจ ซีอีโอ บจ. คาดปี 2567 GDP ไทยจะกลับมาเติบโต 3-4% จากปีนี้ที่ขยายตัวได้ 2-3% ขณะที่รายได้-กำไร บจ.ยังโตเด่น 10% ขึ้นไปในปีนี้และปีหน้า หลังจากนี้ไปนักลงทุนต้องจับจังหวะการลงทุนจากปัจจัยทั้งในเรื่องของการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศและต่างชาติ เสถียรภาพทางการเมือง มาตรการสนับสนุนการลงทุน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวนนักท่องเที่ยว รวมถึงนโยบายการเงิน นโยบายการคลัง การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ที่จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยยังคาดว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีหน้ายังมาจากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการลงทุนภาครัฐ
ผู้เขียนเชื่อว่าบรรยากาศลงทุนที่ยากลำบากในปีนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ราคาหุ้นได้มีการปรับฐานเป็นที่เรียบร้อย ถือว่าเป็นโอกาสและจังหวะการลงทุนที่ทำให้นักลงทุนได้ของดีในราคาที่เหมาะสมมากขึ้น ปัจจัยเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะมากกว่าปัจจัยลบ และทำให้บรรยากาศการลงทุนปรับตัวดีขึ้นตาม ดังนั้น จึงมองว่าตลาดหุ้นไทยในปี 2567 ที่กำลังจะถึงนี้ จะสดใสขึ้นสอดคล้องไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจ