ก.ล.ต.จับหุ้นปั่นขึ้น ‘Auto Halt’ สกัดราคาร้อนแรงเริ่มปี 67
ก.ล.ต. ดีเดย์ยกเครื่อง เพิ่มระบบซื้อขายหุ้น “ร้อนแรง” ออกเกณฑ์ Auto Halt ทันที หากพบความผิดปกติ คาดเริ่มใช้ปี 67 พร้อมศึกษามาตรการขั้นสูงสุด นำระบบ Auction แทนระบบ แมชชิ่ง รอ ตลท. ศึกษากำหนดหลักเกณฑ์ ย้ำหวังคุม “หุ้นปั่น” หวังปิดช่องโหว่ซ้ำรอย “หุ้น MORE” ฟื้นเชื่อมั่น
จากกรณีการสร้างราคาหุ้น หรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของ บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE กับการปล้นเงินจากบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ตั้งแต่ปลายปี 2565 จนถึงปัจจุบันทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เร่งรัดกระบวนการตรวจสอบการกระทำความผิดต่างๆ และมีการกล่าวโทษตามกระบวนการไปแล้วทั้งหมด พร้อมดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
อีกทั้งหากมีพยานหลักฐานหรือข้อมูลเพิ่มเติมทาง ก.ล.ต. ยังคงประสานทั้งหมดประสานความร่วมมือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ภายใต้คณะทำงานเพื่อการบูรณาการ การบังคับใช้กฎหมาย
ดังนั้น ตอนนี้ถือได้ว่า เคสของหุ้น MORE เมื่อกระบวนการตรวจสอบเบ็ดเสร็จแล้ว ยังนำไปสู่ “การถอดบทเรียน” ร่วมกันของผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดหุ้นไทย โดยทาง ก.ล.ต. เร่งศึกษาแนวทางในการยกระดับการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ทั้งกระบวนการเพื่อป้องกันปัญหา และปิดช่องโหว่การกระทำความผิด จากแนวทางการเพิ่มกฎเกณฑ์ และมาตรการต่างๆ ให้มีความเข้มงวดมากขึ้น รวมถึงต่อยอดเครื่องมือในการกำกับดูแลแบบเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันทาง ก.ล.ต. ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการทำ Auto Halt หรือ การห้ามซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนเป็นการชั่วคราว โดยคาดว่าน่าจะมีการออกหลักเกณฑ์และนำมาปฏิบัติได้ภายในปี 2567
ทั้งนี้ การทำ Auto Halt จะทำในทุกช่วงเวลา โดยดูตั้งแต่ Pre open ว่ามีหุ้นที่มีการกะพริบ Pre Open ผิดปกติตั้งแต่ตลาดยังไม่เปิดหรือไม่ เช่น มีปริมาณสั่งซื้อขายหุ้นที่ผิดปกติ เพื่อให้โบรกเกอร์มีเวลาตรวจสอบไม่ให้เกิดความเสียหายเกิดขึ้น เป็นการแอคชั่น ที่เร็วขึ้น และเตือนให้ผู้ลงทุนระมัดระวังมากขึ้น และช่วง ATC หากพบมีปริมาณซื้อขายหุ้นที่เข้ามาผิดปกติ จะใช้เกณฑ์ Auto Halt จะช่วยควบคุมไม่ให้สร้างราคาได้
“หากพบมีสัญญาณความผิดปกติเกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทางตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย H ทันที ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงการห้ามซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนเป็นการชั่วคราว และถึงแม้หลักทรัพย์ดังกล่าวจะถูกปลดเครื่องหมายหยุดพักการซื้อขายชั่วคราว (SP) 1 วันทำการแล้ว แต่หากยังมีความผิดปกติอยู่จะถูกห้ามซื้อขายหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราวได้ทันที”
พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ยังมีแนวทางยกระดับมาตรการขั้นรุนแรงสุดคือ การใช้ระบบการซื้อขายหลักทรัพย์แบบ Auction ในลักษณะที่เสมือนการแข่งขันเสนอราคามาใช้แทนระบบการแมชชิ่ง โดยจะมีการกำหนดช่วงระยะเวลาซื้อซึ่งหลักเกณฑ์การทำระบบ Auction จะเป็นอย่างไรนั้น ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ จะศึกษาและนำรายละเอียดกลับมาเสนอให้ทาง ก.ล.ต. พิจารณาต่อไป
“การที่เราเพิ่มมาตรการป้องกันเหตุหุ้นที่มีความร้อนแรงผิดปกติ ทั้งกรณีหุ้นปั่น และเคสหุ้น MORE ทาง ก.ล.ต. ได้หารือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ซึ่งก็เห็นถึงความจำเป็นร่วมกันที่จะดำเนินการ เพราะปัจจุบันมาตรการที่มีอยู่ไม่พอ ดังนั้น คงต้องเพิ่มเกณฑ์ที่มีความเข้มข้นมากขึ้น แต่เรายังต้องศึกษาร่วมกันอีกพอสมควรและยังต้องรอดูความพร้อมของตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นกัน“
ปัจจุบันมาตรการ การกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์มี 3 ระดับคือ การกำกับบัญชีแคสบาลานซ์ รวมถึงห้ามปล่อยมาร์จิ้น และหยุดพักการซื้อขายชั่วคราว (SP) 1 วันทำการ
นอกจากนี้ เพื่อให้สภาพตลาดทุนไทยมีคุณภาพและคุ้มครองผู้ลงทุนในตลาดหุ้น ทาง ก.ล.ต. ยังได้ผลักดันการปรับเกณฑ์ NVDR หรือใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย โดยจะห้ามไม่ให้คนไทยซื้อขายหุ้นผ่าน NVDR รวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ต้องพิจารณาหลักประกันที่มีคุณภาพทั้งบัญชีเงินสด หรือบัญชีมาร์จิ้นปรับปรุงกระบวนการรายงานต่างๆ ต่อไป
ขณะเดียวกัน ตลอดปี 2566 ก.ล.ต. ได้มีการบังคับใช้กฎหมายแล้ว ณ 27 ธ.ค. 2566 ดำเนินการกล่าวโทษผู้กระทำผิด รวม 8 กรณี แบ่งเป็นความผิดการกระทำไม่เป็นธรรม 5 กรณี (Insider tradingStark 1 กรณี และ 4 กรณี สร้างราคาหลักทรัพย์/สินทรัพย์ดิจิทัล TIGER, KC, MORE, MORE) และทุจริต 3 กรณี (STARK, WORLD, TOPLINE)
ขณะที่ ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง 11 กรณี โดยยินยอมปฏิบัติตาม 8 กรณี (แบ่งเป็นInsider trading 3 กรณี DCON, TIPCO, CHG / สร้างราคาหลักทรัพย์และสินทรัพย์ดิจิทัล 3 กรณี Bitkub, Satang, สร้างราคา 5 หุ้น /แพร่ข่าว 1กรณี PPPM / ยินยอมให้ใช้บัญชี 2 กรณี DCON, TIGER)และส่งฟ้องคดี 3 กรณี (แบ่งเป็นInsider trading1 กรณีPTG / สร้างราคาหลักทรัพย์และสินทรัพย์ดิจิทัล2 กรณี Satang, สร้างราคา 5 หุ้น)
นายเอนก กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า การบังคับใช้กฎหมายของ ก.ล.ต. ที่นำไปสู่การฟ้องคดีทางแพ่งนั้น ศาลตัดสินให้ ก.ล.ต. ชนะในทุกกรณีที่มีการสู้ในชั้นศาล และสั่งปรับการลงโทษเป็นสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์