บลจ.เชียร์ลดพอร์ต 'หุ้นจีน' แผนกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ชัด กองทุนพยุงหุ้นหนุนรีบาวน์ระยะสั้น
“รัฐบาลจีน” ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่อีกรอบ ด้วยการ “ตั้งกองทุนพยุงหุ้นจีน” มูลค่า 2 ล้านล้านหยวน "5 กูรู" ตบเท้าประสานเสียง รีบาวน์ระยะสั้นเท่านั้น เหตุแผนกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ชัด สารพัดปัจจัยยังต้องลุ้น
พลันที ! “รัฐบาลจีน” ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่อีกรอบ ด้วยการ “ตั้งกองทุนพยุงหุ้นจีน” มูลค่า 2 ล้านล้านหยวน... ส่งผลให้ “ตลาดหุ้นจีน” ขานรับปัจจัยบวกดังกล่าว “คึกคัก” สะท้อนผ่านดัชนีหุ้นจีน “รีบาวนด์” กว่า 8% จาก “จุดต่ำสุด” เมื่อต้นปี 2567 แต่ยังถือว่าปรับตัวขึ้นมาไม่มาก หากเทียบกับที่ดัชนีหุ้นจีนลงลึกกว่า 30% จากจุดสูงสุดเดิม
“กรงเทพธุรกิจ” มีมุมมการลงทุนตลาดหุ้นจีน ผ่านแว่นขยายของ “5 กูรู” บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่ประสานเสียงว่า “มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลจีนเป็นเพียง “การประคับประคอง” ตลาดหุ้นจีน และช่วยหนุนเซนทริเมนต์ลงทุนในระยะสั้นเท่านั้น ! แต่ระยะกลาง-ยาว ตลาดหุ้นจีนยังขาดปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนการฟื้นตัว และมองดัชนีตลาดหุ้นจีน อาจจะยังไม่สามารถพลิกกลับมาเป็น “ขาขึ้น” ได้ ท่ามกลางนักลงทุนยังไม่เชื่อมั่นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปัจจุบัน สอดคล้อง “นักลงทุนต่างชาติ” ยังคงไหลออกต่อเนื่อง
“อิศรา พูฒตาลศรี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ดาโอ มีมุมมองว่า ตลาดหุ้นจีนยังไม่ใช่รอบ “ฟื้นตัว” เด่นชัด ซึ่งการกระตุ้นครั้งนี้ ! ถือว่าเข้ามาช่วยระยะสั้นๆ เท่านัั้น เนื่องจากที่ผ่านมาต่างชาติเทขายหุ้นจีนต่อเนื่องจนสัดส่วนลงทุนเหลือน้อยมาก แม้ราคาหุ้นจีนถือว่า “ถูกมาก” ในปัจจุบัน หากพิจารณาที่บริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นจีนยังมี “กำไร” เติบโตดี
ขณะที่ ที่ผ่านมาความเหลื่อมล้ำในสังคม “คนจน” และ “คนรวย” ยังมีมาก กระทั้ง “สี จิ้นผิง” เข้ามาจึงได้มีการเน้นนโยบายอยากจะลดความเหลื่อมล้ำนี้ออกไปให้ได้ ฉะนั้น จึงไม่ค่อยได้เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากเท่าไหร่ ดังจะเห็นที่ผ่านมาบริษัทที่มีกำไรดีจะถูกทางการขอความช่วยเหลือ และให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อให้ความช่วยเหลือ รวมถึงมีความเข้มงวดต่าง ๆ มากมายในบริษัทต่าง ๆ เช่น Tencent เป็นบริษัทไอทีอันดับ 1 ของจีน ก็ยังโดนตรวจสอบในช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้ต่างชาติไม่อยากที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นจีน
ประกอบกับในช่วงหลังจากที่จีน-สหรัฐ เป็นคู่แข่งด้านการค้าขาย “กลุ่มเทคโนโลยี” ทำให้บริษัทใหม่ที่จะเข้าไปลงทุนในจีนนั้น “ยาก”
รวมถึงอีกหลายบริษัทที่มีการย้ายฐานผลิตออกจากจีนอีกเป็นจำนวนมาก ฉะนั้น เซนทริเมนต์ในเรื่องนี้ยังไม่ได้ทำให้หุ้นจีนกลับมาดูดีได้ในมุมมองของนักลงทุน
ดังนั้น แนะนำหากมีกำไรจากการลงทุนหุ้นจีนให้ขายทำกำไรก่อน แต่หากยัง “ขาดทุน” ไม่แนะนำให้ซื้อเติมเพื่อถัวเฉลี่ยแต่ก็ยังไม่ใช่จุดล้างพอร์ต เพราะบริษัทในตลาดหุ้นจีนที่เข้าไปลงทุนส่วนใหญ่ยังมีคุณค่า หรือมีคุณภาพอยู่ในตัว ซึ่งถือว่าถูกมากอาจจะต้องรอให้หมดยุคของ สี จิ้นผิง ส่วนนักลงทุนที่อยากจะเข้าไปลงทุนในช่วงนี้ควรมีติดพอร์ตไว้แค่ 5% เพราะหุ้นจีนยังคงมีความผันผวน
สำหรับ ปัจจัยสำคัญของจีนที่ควรจับตาคือ “ภาคอสังหาริมทรัพย์” หากแก้ไขได้อย่างเบ็ดเสร็จจะส่งผลดี จากที่ผ่านมาเป็นแค่การช่วยพยุงแต่ไม่ได้พลิกกลับมาเพื่อเติบโตใหม่ หรือทำให้รอดได้ โดยสิ่งที่ต้องจับตาสำคัญต่อนโยบายจีนเอง รวมถึงสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐต้องไม่ลืมในปีนี้สหรัฐจะมีเลือกตั้ง ซึ่งมีโอกาส “โดนัลด์ ทรัมป์” มีโอกาสที่จะกลับมา
“บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) บอกว่า ประเมินกองทุนพยุงหุ้นจีนเป็นเซนทริเมนต์บวกสั้น ๆ แต่ “ข้อดี” คือมองเป็นหัวเชื้อให้นักลงทุนหากสังเกตให้ดีช่วง 3 ปีที่ผ่านมาหุ้นจีนมีการปรับตัวลงมาต่อเนื่อง รัฐบาลจีนไม่เคยพูดถึงกองทุนพยุงหุ้นจีนแต่ตรงกันข้ามต้องการลดความเหลื่อมล้ำบริษัทใหญ่และบริษัทเล็ก
ดังนั้น สิ่งที่ีรัฐบาลจีนกำลังทำส่งสัญญาณกลับมาให้ความสำคัญ และจะทำควบคู่ไประหว่างการประคอง “เศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน”
หากย้อนไปเมื่อปี 2515 รัฐบาลเคยทำกองทุนพยุงหุ้นจีนมาแล้ว ตอนนั้นใช้เม็ดเงินไปประมาณ 1.5 ล้านล้านหยวน ขณะที่ “มาร์เก็ตแคป” ในตอนนั้นมีแค่ 27 ล้านล้านหยวน คิดเป็น 5% โดยทำทันทีหลังจากที่หุ้นตกติดต่อกัน 4 เดือน และหลังจากนั้น 2 เดือนหลังจากหมดเงินประคองหุ้นจีนก็ตกกลับลงมาเช่นเดิม
โดยมองนักลงทุนรับความเสี่ยงได้สามารถ “เก็งกำไร” ระยะสั้นในกรอบ 4-6% และออกรอบหนึ่งแต่นักลงทุนที่มีหุ้นจีนอยู่ไม่ควรไปถัวเฉลี่ยเพิ่ม เพราะตัวเลขเศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้นตัวชัดอาจต้องชะลอลงทุนไปก่อน ส่วนนักลงทุนใหม่ควรติดพอร์ตไม่เกิน 10-15%
“ภคสุนาท จิตมั่นชัยธรรม” ฝ่ายการลงทุนผ่านกองทุนต่างประเทศ กลุ่มจัดสรรสินทรัพย์และกองทุนต่างประเทศ บลจ.ไทยพาณิชย์ บอกว่า หุ้นจีน-ฮ่องกง ปรับตัวขึ้นโดดเด่นการฟื้นตัวแรงขึ้นมา 2 วันติดต่อกัน หลังทางการจีนผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม และมีข่าวเรื่องมาตรการด้านตลาดทุนเข้ามาช่วย
ขณะที่ข่าวเรื่องมาตรการด้านตลาดทุนในช่วงหลายวันที่ผ่านมาเช่น การห้าม short sell ของบางสถาบันการเงิน, การเข้าซื้อหุ้นจากรัฐวิสาหกิจ ประกอบกับ การประกาศลด RRR ถือว่า ทำให้บรรยาการศการลงทุนให้ดูดีขึ้นระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม การลงทุนหุ้นจีนคาดหวังการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนระยะกลาง-ยาว ซึ่งภาครัฐจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการกระตุ้นการคลังมากขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนและคนจีน ซึ่งราคาหุ้นจีนที่ปรับตัวลงอาจจะเห็นการฟื้นตัวระยะสั้น แต่การกลับทิศหรือฟื้นตัวของหุ้นจีนระยะยาวยังคงต้องรอดูผลลัพธ์จากทิศทางดัชนีเศรษฐกิจระยะถัดไปที่ชัดเจนก่อน
ดังนั้น กลยุทธ์ลงทุนหุ้นจีน แนะนำสัดส่วนระดับ 5-10% ของพอร์ตลงทุน หากมีสัญญาณฟื้นตัวต่างๆ ชัดเจนขึ้นกว่านี้อาจจะค่อย ๆ ทยอยเพิ่มน้ำหนักในอนาคต
“ไชยวัฒน์ คมโสภาพงศ์” ผู้ช่วยผู้อำนวยการ กลยุทธ์การลงทุน บลจ. เอ็มเอฟซี มองว่า ยังต้องรอติดตามมาตรการทางการจีนที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนรีบาวนด์ขึ้นมารอบนี้จะทำมาตรการได้จริงหรือไม่ รวมถึงยังจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนอย่างต่อเนื่องอีกหรือไม่ นอกจากนโยบายผ่อนคลายทางการเงินที่เคยทำมาแล้วก่อนหน้านี้
ดังนั้น แม้ปัจจุบันด้วยระดับ P/E ของหุ้นจีน ปรับตัวลงมาอยู่ในระดับต่ำมาก อาจเป็นราคาที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงก็ตาม แต่ยังต้องรอปัจจัยพื้นฐานที่จะมาสนับสนุนตลาดหุ้นจีนเป็นทิศทางขาขึ้นได้ชัดเจนก่อน ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ภาคอสังหาฯ , การลงทุนภาครัฐ สนับสนุนการขยายตัวเศรษฐกิจจีน เพิ่มการผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่มากขึ้น
กลยุทธ์ลงทุนแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก ผู้ลงทุน 2-3 ปี ไม่เคยมีหุ้นจีนในพอร์ตและรับความเสี่ยงสูง แนะควรเข้าลงทุนแบบจำกัดความเสี่ยง สัดส่วนไม่เกิน 5% ของพอร์ต แต่ยังรอปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนการเติบโตชัดเจนก่อน กลุ่มสอง ผู้ลงทุนมีสัดส่วนหุ้นจีนในพอร์ตลงทุนเกิน 10% แนะจังหวะตลาดหุ้นจีนรีบาวนด์ขายทำกำไรหรือปรับลดสัดส่วนหุ้นจีนลงมาไม่เกิน 10% ส่วนที่เหลือเปลี่ยนลงทุนหุ้นสหรัฐ หรือเวียดนามเพื่อกระจายความเสี่ยง กลุ่มสาม ผู้ลงทุนมีสัดส่วนหุ้นจีนในพอร์ต 5-10% และขาดทุนแนะยัง “ถือ” รอจังหวะหุ้นจีนเป็นขาขึ้นได้ไม่ต้องรีบขาย
“สุทธิโรจน์ สิทธิวัฒนานนท์” หัวหน้าฝ่ายจัดการกองทุนต่างประเทศ บลจ.วรรณ ให้มุมมองว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อหนุนตลาดทุนจีนรอบนี้มองเป็นข่าวดีระยะสั้น แต่ปัจจุบันตลาดคาดหวังมาตรการที่ทำให้เศรษฐกิจจีนกลับมาขยายตัวได้มากกว่านี้ และหนุนหุ้นจีนมีโอกาสกลับมาเป็น “ขาขึ้น” เช่น เม็ดเงินลงทุนภาครัฐระดับสูงมากกว่า 5 แสนล้านหยวน , การบริโภคและผลิตเพิ่มขึ้นเป็นรูปธรรม, ลดความเสี่ยงภาระหนี้ภาคอสังหาฯ เพื่อให้ความเชื่อมั่นกลับมา
สำหรับ การลงทุนหุ้นจีนยังคงปรับลดสัดส่วนหุ้นจีนเหลือเพียง 4% ของการลงทุนหุ้นโลก ดังนั้น แนะผู้ลงทุนที่ไม่ได้ชื่นชอบหุ้นจีนมากควรมีสัดส่วนไม่เกิน 10% ของพอร์ต แต่เชื่อผู้ลงทุนส่วนใหญ่จะมีสัดส่วนหุ้นจีนมากกว่า 50% ของพอร์ต และยังขาดทุนอยู่ หากตลาดปรับตัวขึ้นมาระดับที่คุ้มค่าความเสี่ยงแล้ว แนะลดสัดส่วนเหลือไม่เกิน 10% ของพอร์ต ส่วนกรณีราคาหุ้นจีนปัจจุบันถือว่าถูกมาก แต่ระยะสั้นยังขาดปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนการเติบโตโดดเด่น แต่การลงทุนหุ้นจีนระยะกลางถึงยาว ยังมีโอกาสฟื้นตัวได้เศรษฐกิจจีนไม่ได้ล้มสลาย