เปิด 10 ดัชนี ‘หุ้นทั่วโลก’ รอบ 1 เดือน ‘หุ้นไทย’ รั้งท้ายติดลบ 3.1%
1 เดือน ตลาดหุ้นทั่วโลกค่อนข้างเขียวสดใส S&P 500 +5.18% Dow Jones) +4.80% และ Nasdaq +4.59% ส่วนตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย Nikkei มาวิน +7.14% ไทยติดลบ 3.1% และจีน ติดลบที่ -3.79%
ผ่านพ้นปีมังกรทอง 2567 มาได้ 1 เดือน ตลาดหุ้นทั่วโลกค่อนข้างเขียวสดใส โดยเฉพาะในกลุ่ม Developed Market ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียไม่ค่อยสู้ดีนัก โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลังจากที่ประกาศงบไตรมาส 4/66 ออกมาต่ำกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้
กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ภาพรวมตลาดโลกในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ประเทศที่พัฒนาแล้วทำได้ค่อนข้างดี อย่างสหรัฐ ดัชนี สำคัญ 3 ดัชนี ปรับขึ้นประมาณ 5% และยุโรป ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 2 - 3% ส่วนตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะหุ้นไทย - 3.1% ฮ่องกง - 4.1% ทำได้ค่อนข้างที่จะแย่
ทั้งนี้สาเหตุของตลาดหุ้นไทยที่ติดลบในรอบ 1 เดือนมาจากผลประกอบการ ที่มีทิศทางปัจจัยที่ถ่วง เนื่องจากผลประกอบของตลาดหุ้นไทย 30% ของกำไรบริษัทจดทะเบียนมาจากกลุ่มพลังงาน ในขณะที่ประมาณ 15% มาจากกลุ่มธนาคาร ซึ่งช่วงที่ผ่านมา 2 กลุ่มนี้มีแนวโน้มเป็นลบตามราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง ขณะที่กลุ่มธนาคารถึงแม้จะไม่ได้มีปัจจัยใหม่ในเชิงพื้นฐานในการปล่อยกู้ แต่สถานการณ์ตลาดตราสารหนี้ ที่ตลาดหุ้นกู้มีความตึงตัวมากขึ้น มีการเลื่อนชำระเงินต้นของหุ้นกู้หลายๆ ชุด จึงกลายมาเป็นความเสี่ยง ถึงแม้ว่าไม่ได้มีการผิดนัดชำระ อย่างกรณีหุ้นกู้ ITD แต่ว่า ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งกลับต้องมีการมาตั้งสำรองเพิ่ม ซึ่งคาดว่า สถานการณ์เช่นนี้จะเป็นไปอีกสักระยะหนึ่ง และในปีนี้จะมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม มองว่า ในปีนี้ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยไม่ได้ และไม่ได้แย่ แต่ด้วยความไม่แน่นอนหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่สูง ซึ่งถือว่าเป็นคู่แข่งของตลาดหุ้น รวมถึงเงินบาทมีโอกาสที่จะอ่อนค่าในช่วง 6 - 9 เดือนข้างหน้า ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐที่สูง โดยธีมที่จะเข้าไปลงทุนต้องเป็นหุ้นกลุ่มที่มีหนี้น้อย และมีกระแสเงินสดที่สูง รวมไปถึงหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าเช่นหุ้นส่งออก และหุ้นกลุ่มเซอร์วิส ได้แก่ หุ้น TU ADVANC MAJOR EGCO BDMS เป็นต้น รวมถึงหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวที่มีความน่าสนใจ
สำหรับดัชนีหุ้นทั่วโลกในรอบ 1 เดือน ของปี 2567
1.ญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei +7.14%
2.เวียดนาม ดัชนี VNI +6.76%
3.สหรัฐ ดัชนี S&P 500 +5.18%
4.สหรัฐ ดัชนี Dow Jones (DJIA) +4.80%
5.สหรัฐ ดัชนี Nasdaq (NDX) +4.59%
6.อินเดีย ดัชนี SENSEX +3.11%
7สิงคโปร์ STI -0.91%
8.ไทย ดัชนี SET -3.1%
9.จีน ดัชนี SSEC -3.79%
10.ฮ่องกง ดัชนี HSI -4.71%
อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผานมา ตลาดหุ้นโลกปรับขึ้น หลังจากที่เศรษฐกิจของสหรัฐ แข็งแกร่งกว่าคาด เช่น ตัวเลขจีดีพีไตรมาสล่าสุดออกมาดีกว่าที่คาดไว้ รวมถึงตัวเลข PMI การผลิตของสหรัฐออกมาขยายตัวอีกครั้ง ถือว่าเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 9 เดือน เป็นเหตุให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับขึ้น โดยเฉพาะ Developed Market หรือ กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ปรับตัวขึ้นต่อจากปีที่ผ่านมา ที่ปรับขึ้นมา 20% ขณะที่ 1 เดือนปรับขึ้นมา 2% ด้านภูมิภาคเอเชียในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนจะมีเพียงแต่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ปรับตัวขึ้นมาได้
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากจีดีพีมีโอกาสต่ำว่าที่คาดการณ์ไว้ หลังจากที่มีเอกสารหลุดช่วงปลายเดือนม.ค.67 ว่า จีดีพีไทยอาจจะต่ำกว่า 2% และล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มจะยอมรับแล้วว่า อาจจะมีการปรับประมาณการจีดีพีลง ส่วนงบไตรมาส 4/66 ที่ออกมาก่อนหน้าค่อนข้างไม่ค่อยดีนัก ทั้งนี้ แม้ในช่วงนี้ตลาดหุ้นอาจจะคาดหวังไม่ค่อยได้มากนัก แต่ถ้าดูราคาหุ้นไทย ณ ปัจจุบัน น่าจะสะท้อนปัจจัยลบไปพอสมควรแล้ว และมีโอกาสขยับขึ้นมาได้
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาดูแล้วตลาดหุ้นโลก และตลาดหุ้นไทย หากไม่ได้เข้าสู่ภาวะวิกฤติเหมือนอย่างต้มยำกุ้ง หรือแฮมเบอร์เกอร์ไครซิส ที่มีการติดลบติดต่อกันถึง 5 ไตรมาส จึงต้องมารอลุ้นอีกทีว่าไทยจะเป็นอย่างไร เพราะที่ผ่านมา ติดลบ 3 ไตรมาสติดต่อกัน ยังต้องมาลุ้นเดือนกุมภาพันธ์ และเดือนมีนาคมอีกที แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในเดือนมกราคม ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยยังไม่ได้ดีนัก แต่อาจจะมีรีบาวน์กลับมาได้ เพราะตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้เกิดวิกฤติมากนัก เพราะจากสถิติในเดือนกุมภาพันธ์ โอกาสที่จะปรับขึ้นได้ 90% จากนักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นที่จะมีการจ่ายปันผลในช่วงนี้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์