‘หุ้นรุ่ง' การเมืองร้อน 'อเมริกา' ในปีเลือกตั้ง 2024
ตลาดหุ้นสหรัฐเปรียบเทียบกับความเปราะบางของเศรษฐกิจจีน แต่ท่ามกลางข่าวสารแห่งความเข้มแข็งของตลาดตลาดหุ้นและเศรษฐกิจโดยทั่วไปของสหรัฐหลังจากวิกฤต โควิด-19 และเงินเฟ้ออย่างรุนแรงนั้น ต้องระวัง “สิ่งเปราะบางตลอดทั้งปีแห่งการเลือกตั้ง”
ระยะนี้ตลาดหุ้นอเมริกามาแรง เขียวทั้งกระดาน ขวัญและกำลังใจของนักลงทุนคึกคักมาก สังเกตไม่มีใครอยากถือเงินสดอีกต่อไป ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เงินไหลเทเข้าซื้อหุ้นของบริษัทเทคโนโลยี โดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์
ที่น่าสนใจคือบิทคอยน์และCryptocurrencyบางชนิดสามารถดึงนักลงทุนกลับมาคืน ทำสถิติใหม่แทบทุกวันจน น่าเป็นห่วงว่าทิศทางบวกนี้จะอยู่ได้อีกนานเท่าใด
NASDAQ ทำสถิติดัชนีสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ ปิดท้ายเดือนกุมภาพันธ์ที่ 16,091.92 น่าสังเกตคือสูงกว่าสถิติเก่าเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2021 ถึง 35 จุด (ครั้งนั้น 16,057.44) ก่อนที่ธนาคารกลางของสหรัฐจะประกาศขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารในสหรัฐอยู่ที่ 5.25% ถึง 5.50%
แม้ขณะนี้นักลงทุนยังสงวนท่าทีแบบกล้ากล้ากลัวกลัว แต่ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่กลัวตกขบวนรถไฟ ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า แม้ว่าการเมืองโลกยังน่าวิตก อาจจะเกิดอะไรขึ้นตูมตามได้ทุกเมื่อ เช่น สัปดาห์นี้ประธานาธิบดีปูตินเผยท่าทีอีกครั้งเรื่องรัสเซียจะป้องกันตนเองโดยการการใช้อาวุธนิวเคลียร์แบบจำกัดหากนาโตส่งกองทหารเข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่ของยูเครน
ปกติข่าวอย่างนี้จะทำให้เกิดความหวาดหวั่นทันทีและกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งคอลัมน์แรก ดัชนีหุ้นจะร่วงเฉียบพลัน อย่างไรก็ตามดูเหมือนสื่อมวลชนส่วนใหญ่แทบจะทำข่าวนี้เหมือนกับข่าวรอง หรืออาจจะชินชากับคำขู่เหล่านี้ ตลาดหุ้นเขียวเหมือนเดิม
ข่าวจากจีนออกมาแทบทุกวันเรื่องความเปราะบางของเศรษฐกิจทำให้ส่งผลวงกว้าง เศรษฐกิจและการเมืองของจีนในปีจะออกมาในรูปใดเป็นเรื่องที่ประเมินยาก รัฐบาลจีนพยายามประชาสัมพันธ์ภายในประเทศและต่างประเทศถึงการลงทุนเรื่องโครงสร้างและหวังผลระยะยาวโดยไม่แสดงถึงความวิตกในสภาวะเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ใช้มาตรการเข้มเพื่อความยั่งยืน โดยปฏิเสธการอุ้มชู บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อยู่ในขั้นวิกฤต ทำให้สะเทือนถึงความมั่นใจในการใช้จ่ายของชาวจีนเนื่องจากต้องเตรียมริบรอมเอาไว้เพื่อความอยู่รอดในอนาคตหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น
ดัชนีหุ้นของจีนลดลงเป็นระยะ สะท้อนถึงความมั่นใจที่ลดลงของนักลงทุนทั้งระดับสถาบันและรายย่อยส่วนบุคคลต่างๆดูตัวอย่างของบริษัทชั้นนำเช่น ALIBABA ราคาหุ้นปัจจุบันเมื่อเทียบกับปีที่แล้วลดลง 20% และเมื่อเทียบกับห้าปีที่แล้วลดลง 58.93%, BIDU -29.77% ในหนึ่งปีและ -39.80% ในห้าปี, TENCENT -24.88% ในหนึ่งปีและ 21.06% ในห้าปี
ตัวอย่างของบริษัทจีนทั้งสามที่กล่าวนั้นเมื่อเปรียบเปรียบเทียบกับบริษัทในอเมริกาที่คล้ายกันจะเห็นข้อแตกต่างเช่น AMAZON หนึ่งปี +89.58% และห้าปี +116.83%, GOOGLE หนึ่งปี +54.15% และห้าปี +147.20%, META หนึ่งปี 181.80% และห้าปี 201.70%
ข่าวความเข้มแข็งของตลาดหุ้นในสหรัฐเปรียบเทียบกับความเปราะบางของเศรษฐกิจจีนนั้นอาจเห็นประโคมแทบทุกวันในสื่อมวลชนตะวันตก ซึ่งถูกยกมาอ้างอิงเป็นรายวันเช่นกันในสื่อเอเชียทั้งหลาย แต่ท่ามกลางข่าวสารแห่งความเข้มแข็งของตลาดตลาดหุ้นและเศรษฐกิจโดยทั่วไปของสหรัฐหลังจากวิกฤต โควิด-19 และเงินเฟ้ออย่างรุนแรงนั้น ต้องระวัง “สิ่งเปราะบางตลอดทั้งปีแห่งการเลือกตั้ง”
หากไม่มีอะไรพลิกผันคู่ท้าชิงประธานาธิบดีที่โลกจับตามองก็จะเป็นผู้อาวุโสสองคนคือประธานาธิบดี Biden และอดีตประธานาธิบดี Trump แต่อีกหลายเดือนกว่าจะทราบผลเป็นทางการ ว่าทั้งสองคนนี้จะเป็นผู้แทนของพรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรคปลายปีนี้หรือไม่
การหาเสียงจะรุนแรงมากหลังจากเดือนสิงหาคมเป็นต้นไปจนถึงวันเลือกตั้ง 5 พฤศจิกายน 2024
ทีมหาเสียงทั้งสองฝ่ายต้องใช้กลยุทธ์สารพัดสร้างประเด็นเพิ่มกระแสความนิยม และระดมเงินบริจาคให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะเงินบริจาครายย่อยส่วนบุคคลจากประชาชนระดับรากหญ้า ซึ่งเป้าหมายอยู่ที่เงินจำนวนไม่มากต่อคนแต่ต้องการฐานเสียงให้มากที่สุด เช่น $15 ต่อผู้บริจาคหนึ่งคน (สหรัฐอเมริกามีกฎหมายจำกัดไม่ให้บุคคลใดบริจาคเงินในหนึ่งฤดูเลือกตั้งให้นักการเมืองคนใดคนหนึ่งเกินกว่า $2,700)
การระดมเงินบริจาคของแต่ละทีมเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้นเมื่อครั้งเลือกตั้งที่ผ่านมาปี 2020 เป้าหมายประมาณ 1,000 ล้านเหรียญ แต่คาดว่าในปีนี้นี้จะต้องใช้เงินประมาณ 1,400 ล้านเหรียญจึงจะมีชัยชนะ(การแข่งขันครั้งที่แล้วฺ Biden หาเงินบริจาคได้ 1,010 ล้านเหรียญ เทียบกับ Trump ที่ 710 ล้านเหรียญ)
ปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา Biden รับบริจาคแล้ว 56 ล้านเหรียญ เทียบกับ Trump 33 ล้านหรียญ จับตามองกลยุทธ์ของแต่ละฝ่ายที่จะออกมาเพื่อให้ได้ 1,400 ล้านเหรียญตามเป้า
ประเด็นร้อนของการเมืองในสหรัฐฯช่วงนี้คือเรื่องส่วนตัวของอดีตประธานาธิบดี Trump ที่ปัจจุบันมีปัญหาเรื่องการเงินจากสองคดีแพ่งที่ถูกศาลตัดสินให้ชำระเงินเป็นจำนวนมาก คดีแรกเป็นเรื่องหมิ่นประมาทสตรีที่ถูกคุกคามทางเพศและต้องชำระเงินให้ผู้เสียหาย 83.3 ล้านเหรียญ และคดีล่าสุดเรื่องบริษัทของครอบครัวฉ้อโกงรัฐนิวยอร์กที่ต้องชำระทั้งต้นและดอกให้กับรัฐบาลของรัฐนิวยอร์ก 455 ล้านเหรียญ และนอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายต่อทีมทนายความหลายกลุ่ม ที่ช่วยต่อสู้คดีทั้งแพ่งและอาญาอีก 4 คดีรวมทั้งหมด 91 กระทงเป็นจำนวนเกินกว่า 50 ล้านเหรียญ และเงินค่าทนายความส่วนใหญ่ถูกดึงมาจากเงินบริจาคช่วยเหลือการเลือกตั้งปีนี้
คดีอาญาที่รออยู่อาจจะเริ่มนำขึ้นพิจารณาในศาลในเร็ววันนี้ โดยคดีในรัฐนิวยอร์กเรื่องละเมิดกฏหมายการเลือกตั้งโดยการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ จะเริ่มพิจารณาคดีความในขั้นศาลวันที่ 24 มีนาคม ส่วนคดีอาญาอีกสามคดีนั้นคาดว่าจะตามมา แม้ไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นในเดือนใดและจะมีการใช้กลวิธียืดเวลาออกไปอีกนานเท่าใดเพื่อให้พ้นฤดูกาลเลือกตั้ง แต่คดีความเหล่านี้ก็จะมีผลกระทบต่อเวลาของผู้หาเสียง และอาจใช้อ้างว่ากระบวนการยุติธรรมถูกนำมาใช้กลั่นแกล้งเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง และข่าวที่ออกมาจากคดีต่างๆเหล่านี้จะสร้างความสับสนและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมทั่วไป จับตามองว่าจะมีการใช้เรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างเพื่อสร้างความไม่พอใจในกลุ่มผู้สนับสนุนทางการเมืองและกลุ่มหัวรุนแรงที่อาจจะใช้เป็นข้อแก้ตัวหากมีการพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน
ผู้นำหลายประเทศทั่วโลกออกมาแสดงความเห็นโดยเปิดเผยเป็นห่วงประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ การยุยงปลุกปั่นโดยใช้โซเชียลมีเดียปัจจุบันมีประสิทธิภาพมาก จึงทำให้การแตกแยกทางการเมืองเป็นวงกว้างมากขึ้น
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐและเลือกตั้งทั่วไปของสมาชิกรัฐสภาในปลายปีนี้ หากมีการประท้วงไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งและใช้ความรุนแรงบนท้องถนนเป็นจลาจลระดับสงครามกลางเมืองขนาดย่อยก็อาจส่งผลถึงความมั่นคงทั่วโลกและอาจจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงถึงเศรษฐกิจการเงินการธนาคารของโลกได้ครับ
กฤษฎา บุญเรือง
29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024