เดือนแห่งปัจจัยบวก ฟื้นตัวได้ไม่ยาก
ตลาดหุ้น รอบนี้แกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบตลอดทั้งเดือน และมีช่วงที่ปริมาณการซื้อขายลดลงเหลือไม่ถึง 3 หมื่นล้านบาทต่อวัน ถือเป็นการปรับตัวลงมากกว่าตลาดหุ้นโลกส่วนใหญ่ สาเหตุสำคัญยังคงได้แก่แนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ถูกปรับลดประมาณการลงอย่างต่อเนื่อง
เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตลาดตราสารหนี้ มีการปรับตัวลักษณะรับรู้ทิศทางดอกเบี้ยที่มีโอกาสปรับตัวลงแต่ส่งอาการผิดหวังนิดหน่อยเพราะไม่น่าจะปรับลงในเร็วๆ นี้ ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลล่าร์และเป็นไปในทิศทางเดียวกับค่าเงินหยวน ด้านตลาดหุ้น จะพบว่า SET Index รอบนี้แกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบตลอดทั้งเดือน และมีช่วงที่ปริมาณการซื้อขายลดลงเหลือไม่ถึง 3 หมื่นล้านบาทต่อวัน ถือเป็นการปรับตัวลงมากกว่าตลาดหุ้นโลกส่วนใหญ่ สาเหตุสำคัญยังคงได้แก่แนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ถูกปรับลดประมาณการลงอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดหุ้นไทยถือเป็นหนึ่งในสองประเทศของเอเชีย (และจีน) ที่เห็นการปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
ปัจจัยเศรษฐกิจที่สำคัญ เริ่มจากการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสภาพัฒน์ โดยระบุว่า GDP ไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 ขยายตัวเพียง 1.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน และลดลง 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา แย่กว่าที่ตลาดคาดว่าจะขยายตัว 2.6% และหดตัว -0.1% ตามลำดับ นอกจากนั้น ยังปรับลดคาดการณ์ขยายตัวของ GDP ปี 2567 จากเดิมในช่วง 2.7%-3.7% เป็น 2.2%-3.2% กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขส่งออก-นำเข้าของไทยเดือนม.ค. พบยอดส่งออกขยายตัวดีกว่าคาดที่ 10.0% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แม้ตัดทองคำไปแล้วก็ยังขยายตัวได้ 8.6% ถือเป็นระดับที่แข็งแกร่ง
กระทรวงพาณิชย์ของไทยรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมกราคม ปรากฏว่าดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ลดลง 1.1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อ่อนแอกว่าที่ตลาดมองว่าจะลดลง 0.9% โดยเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ระดับต่ำสุดในรอบ 35 เดือน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่สิ่งที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด เมื่อพิจารณาจากฐานต่ำของราคาโภคภัณฑ์โลกในปีก่อน รวมถึงปัจจัยในประเทศเฉพาะตัวอย่างมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ ซึ่งกว่าจะเริ่มต้นขึ้นก็อยู่ในช่วงไตรมาส 3 ของปีก่อนไปแล้ว ท้ายสุดก็มีเรื่องที่ดีเกี่ยวกับ สำนักงบประมาณ ได้ปรับกำหนดวันในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ปี 2567 ใหม่ โดยคาดว่าจะสามารถนำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ขึ้นทูลเกล้าฯถวายได้ในวันที่ 2 เม.ย.67 จากเดิมกำหนดวันที่ 17 เม.ย.67 น่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย ผ่านแนวโน้มการใช้จ่ายภาครัฐที่จะเข้ามาเร็วขึ้น
ปัจจัยอื่นที่น่าสนใจ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ เดือนม.ค.ออกมาแข็งแกร่งมาก โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) เพิ่มขึ้นถึง 3.5 แสนตำแหน่ง สูงกว่าตลาดคาดที่ 1.8 แสนตำแหน่ง แสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงขยายตัวได้ดี ทำให้โอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยน่าจะขยับออกไปอีก ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงชั่วคราว หลังการประชุมกนง.เสร็จสิ้น เนื่องจากเสียงที่แตก 5:2 เป็นการส่งสัญญาณว่า กนง.อาจมีการปรับลดดอกเบี้ยก่อน Fed ซึ่งจะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของไทยเราเมื่อเทียบกับสหรัฐฯมีความเสี่ยงที่จะมีความต่างกันมากขึ้นในช่วงถัดไป
สำหรับภาพการลงทุนในเดือนมีนาคม คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ได้ไม่ยาก โดยมีปัจจัยหนุนอยู่หลายปัจจัย ได้แก่ การเริ่มต้นบังคับใช้มาตรการฟรีวีซ่าระหว่างไทย-จีน ซึ่งน่าจะทำให้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย ความคาดหวังต่อการใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการลงทุน หลังพ.ร.บ.งบประมาณฉบับใหม่มีโอกาสถูกประกาศใช้เร็วขึ้น
โดยทั้งเดือนมีนาคมนี้ คาดว่าจะเห็นพัฒนาการเชิงบวกจากสภาล่างและสภาสูงอย่างต่อเนื่อง และ การปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนของไทยที่น่าจะสิ้นสุดลงชั่วคราว หลังผ่านพ้นเทศกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 ของปี 2566 ไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับปัจจัยอื่นที่น่าติดตามในเดือนมีนาคมนี้ ได้แก่ การประชุม FOMC ซึ่งจะทราบผลในช่วงดึกคืนวันที่ 20 มีนาคม ตามเวลาบ้านเรา หลังจากที่ปัจจุบันนักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่า FED จะมีมติคงดอกเบี้ยในรอบนี้ อย่างไรก็ดี มีปัจจัยที่ต้องติดตามได้แก่ คาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจและประมาณการ Dot plots รอบใหม่ที่จะออกมาในครั้งนี้
กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในหุ้นคือ กลุ่มโรงแรม กลุ่มค้าปลีก กลุ่มโรงพยบาล และกลุ่มสื่อสาร และธีมการลงทุนของเดือนนี้ก็น่าจะเป็น ธีมเงินปันผลสูง ครับ สำหรับ พอร์ตการลงทุนยังคงน้ำหนักตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ 50% จัดเป็น สหรัฐฯ ยุโรป และจีน รวมกันไม่เกิน 25 % ญี่ปุ่น และ เวียดนาม รวมกันไม่เกิน 15% ประเทศไทย 10% ตราสารหนี้และตลาดเงิน 40% เป็นตราสารหนี้ระยะสั้น 15% ตราสารหนี้ระยะกลางของเอกชนที่อยู่ในระดับ Investment Grade 15% ตลาดเงิน 10% การลงทุนทางเลือก ทองคำ และน้ำมัน REIT ในสัดส่วน 10% โดยเน้นไปที่ REIT ครับ