สินค้าโภคภัณฑ์สำคัญอย่างไร  ในตลาดหุ้นไทยที่นักลงทุนต้องติดตาม

สินค้าโภคภัณฑ์สำคัญอย่างไร  ในตลาดหุ้นไทยที่นักลงทุนต้องติดตาม

หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์หรือวัตถุดิบ ที่นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยต้องติดตาม โดยราคาสินค้ากลุ่มนี้จะถูกกำหนดโดยอุปสงค์ และอุปทานของตลาดโลก

นารี อภิเศวตกานต์ นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด หรือ Liberator เปิดเผยว่า สินค้าโภคภัณฑ์คือ ผลิตภัณฑ์หรือวัตถุดิบที่นำไปใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตสินค้าต่างๆ ได้ โดยตัวสินค้าจะมีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก แม้จะมาจากผู้ผลิตในแต่ละประเทศที่แตกต่างกันก็ตาม ดังนั้นราคาสินค้ากลุ่มนี้จะถูกกำหนดโดยอุปสงค์ และอุปทานของตลาดโลก

สินค้าโภคภัณฑ์จะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1. Hard Commodity คือ สินค้าโภคภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติ ใช้แล้วหมดไปได้แก่ ทองคำน้ำมันดิบ, ก๊าซธรรมชาติ, ถ่านหิน และแร่ต่างๆ เป็นต้น
2. Soft Commodity คือ สินค้าโภคภัณฑ์ที่ผลิตจากมนุษย์ มาจากการเพาะปลูกมีอายุจัดเก็บรักษาจำกัด เช่น ยางพารา สินค้าเกษตรอื่นๆ

สินค้าโภคภัณฑ์ ยังสามารถแบ่งประเภทตามกลุ่มสินค้าได้เป็น 5 กลุ่มดังนี้
1) สินค้าเกษตร
2) สินค้าพลังงาน
3) โลหะอุตสาหกรรม
4) สินค้าปศุสัตว์
5) โลหะมีค่า

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์
1.ภาวะอุปสงค์ และอุปทานในตลาดโลก เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่จะมาจากธรรมชาติอย่างน้ำมัน หรือผลิตจากมนุษย์ทำให้อุปสงค์มีผลต่อราคาค่อนข้างมากในขณะที่ฝั่งผลผลิต (หรืออุปทาน)ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ก็จะส่งผลกระทบต่อราคาอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน

2.สภาพอากาศ ที่ผันผวนจะส่งผลกระทบต่อผลผลิต(อุปทาน)ให้เพิ่มขึ้นหรือลดลง เช่น ภาวะเอลนีโญหรือลานีญา ส่งผลกระทบต่อผลิตให้ลดลงได้

3.ภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในบางภูมิภาคซึ่งเป็นแหล่งผลิตสินค้า ตัวอย่าง เช่น ปัญหาความไม่สงบในยูเครน-รัสเซีย ทำให้ราคาแป้งสาลีปรับขึ้น เนื่องจากบริเวณขัดแย้งดันเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก

4.เทคโนโลยี ที่เปลี่ยนแปลง เช่น การนำเทคโนโลยีมาช่วยทำให้ผลผลิตดีขึ้น หรือทำให้อุปทานเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อน

สินค้าโภคภัณฑ์เชื่อมโยงกับตลาดหุ้นไทยอย่างไร

อย่างที่บอกไปเบื้องต้นแล้วว่าสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่จะนำมาผลิต หรือเป็นส่วนประกอบสำคัญเพื่อใช้ในการผลิตสินค้า ฉะนั้นการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าปรับเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบกับกำไรของบริษัทจดทะเบียน ฉะนั้น ผู้บริหารของบริษัทจะต้องดูแลปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อให้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานน้อยที่สุด

สินค้าโภคภัณฑ์ จะส่งผลกระทบอย่างไรกับหุ้นไทย ในแต่กลุ่มอุตสาหกรรม อย่างไรบ้าง

ภาวะอุปสงค์ และอุปทานในตลาดโลก เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่จะมาจากธรรมชาติอย่างน้ำมัน หรือผลิตจากมนุษย์ ทำให้อุปสงค์มีผลต่อราคาค่อนข้างมาก ในขณะที่ฝั่งผลผลิต (หรืออุปทาน)ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ก็จะส่งผลกระทบต่อราคาอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน

กลุ่มเกษตร 
กลุ่มยางพารา (NER, STA, TEGH และ TRUBB) กลุ่มนี้สามารถดูราคายางในตลาด ไทย ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ซึ่งมักจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยในปีนี้คาดการณ์ว่า ผลผลิตยางอาจลดลงจากปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้น ยางที่นิยมดูคือ (Si-com, Tocom)

กลุ่มปาล์ม (UPOIC, UVAN, VPO และ CPI)
กลุ่มนี้จะดูราคาปาล์มในไทย และมาเลเซีย ดูได้จาก (mpoc.org : CPO Price) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก

กลุ่มอาหาร 
กลุ่มน้ำตาล (BRR, KSL และ KTIS) สามารถดูจากราคาซื้อขายในตลาดโลก เช่น ราคาน้ำตาลทรายดิบในสหรัฐ (investing.com : US Sug-ar#11) แต่ส่วนใหญ่การซื้อขายในปัจจุบันเป็นการทำราคาในปีถัดไปจึงอาจไม่สะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริง ใช้เป็นเพียงสัญญาณของการดำเนินงานในอนาคตที่ดีขึ้นได้

กลุ่มเนื้อสัตว์ หมู, ไก่ (GFPT, BR, BTG, CPF และ TFG) โดยกลุ่มนี้เราจะดูราคาหมู, ไก่เป็นหลักใช้ราคาหน้าฟาร์มจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (www.oae.go.th) เพื่อสามารถสะท้อนการดำเนินงาน แต่อาจต้องพิจารณาปริมาณการเลี้ยงสัตว์ และต้นทุนการผลิตว่าเพิ่มขึ้นหรือไม่

กลุ่มร้านอาหาร (M, SNP, ZEN และ SORKON) กลุ่มนี้แม้การดำเนินงานอาจไม่อิงกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรงแต่หากวัตถุดิบหลักที่ใช้ส่วนใหญ่จะมาจากกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งราคาที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานเช่นกัน

กลุ่มเครื่องดื่ม เครื่องดื่มชูกำลัง (CBG OSP) น้ำผลไม้และทั่วไป (COCOCO, PLUS, ICHI,MALEE, SAPPE และ TIPCO) กลุ่มนี้อาจมีส่วนประกอบหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น บรรจุภัณฑ์ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอะลูมิเนียม (investing.com : Aluminium), เรซิน และส่วนประกอบในการผลิตเช่นวัตถุดิบหลักเช่น มะพร้าว และน้ำตาล

กลุ่มผู้ผลิตที่เกี่ยวข้องกับแป้ง (KCG, RBF,NSL, SNNP, PB) บริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่มีวัตถุดิบหลักคือ แป้งสาลี (investing.com : US Wheat) เพื่อใช้ผลิตสินค้า ช่วงก่อนหน้าได้รับผลจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ แต่คาดสถานการณ์คลี่คลายขึ้น

กลุ่มพลังงาน
กลุ่มนี้มีความเกี่ยวข้องกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ค่อนข้างมาก เนื่องจากเริ่มตั้งแต่การนำเข้าน้ำมันดิบซึ่งอ้างอิงจากดูไบ (invest-ing.com : Brent Oil) เพื่อมาใช้ผลิตเป็นน้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งในที่นี้จะอิงกับราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกตามอุปสงค์ และอุปทานที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งการผลิตจากโรงกลั่นต่างๆ ในตลาด, สต็อกน้ำมันที่มี และความต้องการใช้น้ำมัน และจะมีผลต่อเนื่องไปเพิ่มหรือลดในส่วน Crude Premium ด้วย เช่น หากอุปสงค์ดี Crude Premium ก็จะปรับขึ้นตาม
ไปด้วย ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นจะส่งผลกระทบต่อส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ให้ปรับขึ้นหรือลงได้

กลุ่มโรงกลั่น (BCP, BSRC, IPRC, PTTGC,SPRC และ TOP) ซึ่งเราเคยพูดถึงกลุ่มโรงกลั่นไปแล้วว่าที่มาของค่าการกลั่น(GRM) มาอย่างไร รวมถึงกลุ่มผลิตและสำรวจ (PTTEP, BCP) ซึ่งในส่วนนี้จะได้รับผลโดยตรงตามราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นหรือลง เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ขุดได้ประกอบด้วยน้ำมันดิบ และก๊าซซึ่งราคาขายจะอิงกับราคาน้ำมันโดยตรง เช่น เดียวกับราคาก๊าซ แต่ในส่วนราคาก๊าซ (invest-ing.com : Natural Gas) อาจมีความเลื่อมของเวลาในการขาย

กลุ่มปิโตรเคมี ในส่วนกลุ่มปิโตรเคมี (IRPC, IVL, PTTGC และ SCC) แม้ว่าราคาผลิตภัณฑ์จะไม่อิงกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรงแต่หากวัตถุดิบต้นทางในการผลิตเป็นสินค้าจะมาจากน้ำมันดิบ และนำไปผลิตต่อเป็นสินค้าที่เกี่ยวเนื่องในสายการผลิตทั้งกลุ่มอะโรเมติกส์, โอเลฟินส์ และ PET ซึ่งส่วนต่างราคาจะถูกขับเคลื่อนจากอุปสงค์ และอุปทานในตลาดโลก โดยเฉพาะอุปสงค์นั้นยังอิงกับประเทศผู้ใช้หลักอย่างจีนขณะที่อุปทานนั้นขึ้นกับว่ามีการขยายกำลังการผลิต หรือมีการหยุดซ่อมบำรุงในตลาดหรือไม่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาผลิตภัณฑ์

กลุ่มสถานีบริการน้ำมันในกลุ่มสถานีบริการน้ำมันนี้ (BCP, BSRC, PTG,OR และ SUSCO) แม้จะไม่ได้อิงกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรง แต่มีส่วนเกี่ยวข้องเช่นกันเนื่องจากต้นทุนการผลิตคือ น้ำมันดิบ และมาผลิตเป็นน้ำมันสำเร็จรูปจะกระทบกับสต็อกที่มีหากราคาน้ำมันปรับลง

กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และจำหน่ายสินค้าเกี่ยวข้องกับบ้านกลุ่มนี้หลักๆ คือ บริษัทที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้าง เช่น เหล็ก (HMPRO, GLOBAL และ DOHOME) ซึ่งจะได้รับผลบวกหากราคาเหล็ก (investing.com : Steel HRC FOB-Chi-na) ปรับขึ้นทำให้ได้รับผลดีจากสต็อกที่มีอยู่
 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์