หุ้นเทคฯ ใหญ่ พุ่งขึ้นจากเทรนด์ AI หนุนดัชนี S&P500 ปรับขึ้นต่อเนื่อง
AI สุดยอดเทรนด์การลงทุนแห่งยุค และการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีครั้งสำคัญของโลก AI ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาดัชนี S&P500 ปรับขึ้นราว +20% แตะระดับสูงสุด หนุนจากหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven ที่เติบโตอย่างมีนัยจากเทรนด์ AI
KEY
POINTS
- AI ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาดัชนี S&P500 ปรับขึ้นราว +20% แตะระดับสูงสุด หนุนจากหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven ที่เติบโตอย่างมีนัยจากเทรนด์ AI
- Nvidia ซึ่งราคาหุ้นพุ่งขึ้นแรงถึง +79.11% นับตั้งแต่ต้นปี 2024 (ณ วันที่ 7 มีนาคม 2024) และ +280.88% ในช่วงเวลา 1 ปีย้อนหลัง
- ประโยชน์ที่ได้จากธุรกิจผลิตชิปประมวลผล AI กว่า 1,600 บริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Generative IA ส่งผลให้บริษัทครองส่วนแบ่งตลาดธุรกิจ Data Center สูงถึง 75% จากที่เดิมอยู่ที่ 15% เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
- Market Cap ของ Nvidia เพิ่มขึ้นแตะ $2.32 trillion ขึ้นเป็นบริษัทที่มี Market Cap ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของสหรัฐ
บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด หรือ บลจ.ทิสโก้ ระบุผ่านบทวิเคราะห์ว่า ในปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่มีความสำคัญสำหรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) หลังบริษัทเทคฯ ขนาดใหญ่ต่างเร่งพัฒนาโมเดลใหม่ๆ ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ดัชนี S&P500 ปรับขึ้นราว +20% แตะระดับสูงสุด หนุนจากหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven ที่เติบโตอย่างมีนัยจากเทรนด์ AI ได้แก่ Microsoft, Apple, Nvidia, Amazon, Meta Platform, Alphabet และ Tesla ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนน้ำหนักการลงทุนราว 30% ของดัชนี ซึ่งหากพิจารณาเพียงผลตอบแทนของหุ้น 7 ตัวพบว่าปรับขึ้นมากกว่า +80% แต่หากไม่รวมหุ้นกลุ่มเทคฯ ดัชนี S&P500 จะปรับขึ้นเพียง 11%
โดยหุ้นที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม Magnificent Seven และให้ผลตอบแทนโดดเด่นที่สุดด้วยเช่นเดียวกันคือ Nvidia ซึ่งราคาหุ้นพุ่งขึ้นแรงถึง +79.11% นับตั้งแต่ต้นปี 2024 (ณ วันที่ 7 มีนาคม 2024) และ +280.88% ในช่วงเวลา 1 ปีย้อนหลัง และหากนับผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี ราคาหุ้น Nvidia ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงมากกว่า +600% ซึ่งราคาหุ้น Nvidia ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากประโยชน์ที่ได้จากธุรกิจผลิตชิปประมวลผล AI สำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่เป็นรากฐานสำคัญของกว่า 1,600 บริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Generative IA ส่งผลให้บริษัทสามารถครองส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจ Data Center ได้สูงถึง 75% จากที่เดิมอยู่ที่ 15% เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
และสะท้อนในรายได้ และกำไรต่อหุ้นในไตรมาสล่าสุดที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 120% และ 400% ตามลำดับ ซึ่ง Goldman Sachs คาดว่าบริษัทจะสามารถคง gross margin ได้ที่ 75% และด้วยราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ขณะนี้ Market Cap ของ Nvidia เพิ่มขึ้นแตะ $2.32 trillion ขึ้นเป็นบริษัทที่มี Market Cap ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของสหรัฐ เป็นรองเพียงแค่ Microsoft และ Apple
AI ถูกปรับใช้ในหลายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
ความสำเร็จในการพัฒนา AI Chatbot ที่มีความสามารถในการประมวลข้อมูลมหาศาลถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานในหลายอุตสาหกรรม อาทิ การพัฒนาซอฟต์แวร์ AI, การสร้างเนื้อหาในแพลตฟอร์มต่างๆ, การให้บริการลูกค้าสัมพันธ์ ไปจนถึงอุตสาหกรรมการแพทย์อย่างการใช้ AI ช่วยวิจัยยา เป็นต้น เรียกได้ว่าครอบคลุมกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของผู้คน โดยการปรับใช้เทคโนโลยี AI จะสามารถจะเพิ่มประสิทธิภาพ และมูลค่าของธุรกิจ รวมถึงลดต้นทุนในการบริหารจัดการ
จากประสิทธิภาพในการทำงาน และการเล็งเห็นศักยภาพในการเติบโตของเทคโนโลยี AI ส่งผลให้หลายบริษัทต่างเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการของตน อย่างเช่น Meta Platform ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม Social media อย่าง Facebook, Instagram และ WhatsApp มีการพัฒนา AI หลายรูปแบบอย่างการเปิดตัว Emu (Expressive Media Universe) ซึ่งเป็นโมเดล AI สำหรับสร้างสรรค์ภาพจากตัวอักษร โดยสามารถทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างสรรค์ภาพเสมือนจริงจากคำเพียงไม่กี่คำ, AI Studio ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้นักพัฒนาภายนอกสามารถสร้างสรรค์เครื่องมือและฟีเจอร์ AI ได้ รวมถึงการพัฒนาระบบ AI สำหรับช่วยในการแนะนำวิดีโอทุกรูปแบบของ Meta ในทุกแพลตฟอร์มให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น เป็นต้น
Salesforce บริษัทซอฟต์แวร์การจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) บนระบบ Cloud อันดับ 1 ของโลก ที่นำ Generative AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผู้ใช้งานอย่างการเปิดตัว Einstein GPT ซึ่งแบ่งเป็นสำหรับการขาย การบริการ และการทำการตลาด อย่างเช่นการตอบกลับลูกค้าอัตโนมัติด้วยเนื้อหาเฉพาะบุคคล, การสร้างเนื้อหาการตลาดผ่านช่องทางต่างๆ เป็นต้น
Adobe บริษัทซอฟต์แวร์ที่สร้างสรรค์งานด้าน Graphic อย่าง Adobe Firefly ซึ่งมีฟีเจอร์ในการสร้างผลงานทั้งรูปภาพ เอฟเฟกต์ งานกราฟิก วิดีโอที่มีคุณภาพสูงจากข้อความหรือรูปภาพอ้างอิง รวมถึงสามารถปรับแต่งด้วยฟีเจอร์ที่ผู้ใช้สามารถต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ได้
เติบโตไปกับบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์ AI
จากการเติบโตเทรนด์ AI ส่งผลให้บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยี AI จากต้นน้ำถึงปลายน้ำต่างได้รับประโยชน์ ทั้งบริษัทที่เกี่ยวข้องกับชิปประมวลผลซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐาน (AI Infrastructure) ที่สำคัญของเทคโนโลยี AI ตั้งแต่บริษัทที่ผลิตเครื่องผลิตชิป ไปจนถึงบริษัทที่ออกแบบ และผลิตชิปประมวลผลอย่าง Nvidia, AMD และ Intel ซึ่งกำไร และรายได้สะท้อนการเติบโตอย่างทันทีกับเทรนด์ AI ทั้งนี้ มีการประมาณการว่ามูลค่าของตลาดชิปประมวลผลจะแตะ $200 billion ภายใน 10 ปีข้างหน้า
ซึ่งไม่เพียงแต่บริษัทผลิตชิปประมวลผลเท่านั้น กลุ่มบริษัทอื่นๆ ก็จะได้รับประโยชน์จากการมาของ AI ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือ บริษัทในกลุ่มที่พัฒนาซอฟต์แวร์ (AI Software) อย่าง Microsoft, OpenAI, Gemini ซึ่งถูกพัฒนาโดย Google ที่รายได้ และกำไรกำลังเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของ AI และกลุ่มบริษัทที่นำ AI มาพัฒนาการบริการต่างๆ (AI Services) อย่าง Meta Platform, Adobe และ Salesforce ที่มีศักยภาพในการเติบโตจากการนำ AI มาสร้างรูปแบบธุรกิจ และบริการใหม่ได้ ทั้งนี้ มีการประมาณการว่ามูลค่าตลาดของ Generative AI จะเติบโตสูงถึงกว่า $1.3 trillion ภายในปี 2032
AI ถือเป็นเทคโนโลยีที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโลก จากการพัฒนา และปรับใช้ในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงแนวโน้มที่องค์กรต่างๆ หันมาลงทุนพัฒนาระบบ AI เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยนักลงทุนสามารถเติบโตไปพร้อมกับบริษัทที่จะได้รับประโยชน์จากเทรนด์ดังกล่าว และเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนผ่านไปสู่อีกขั้นของเทคโนโลยี ผ่านการลงทุนกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI ที่มีศักยภาพในการเติบโต ซึ่งคาดว่าจะสะท้อนในผลการดำเนินงาน และสร้างโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับผู้ลงทุนได้
ที่มา: Bloomberg, Goldman Sachs, McKinsey & Company, CNBC
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์