หุ้น Xiaomi พุ่งเฉียด 10% หลังบริษัท ระบุวันขายรถยนต์ EV รุ่นแรก 28 มี.ค.67

หุ้น Xiaomi พุ่งเฉียด 10% หลังบริษัท ระบุวันขายรถยนต์ EV รุ่นแรก 28 มี.ค.67

สำนักข่าวไฟแนนเชียลไทม์ส (Financial Times) รายงาน (12 มี.ค.67) ว่า หุ้น Xiaomi ซึ่งจดทะเบียนในฮ่องกงพุ่งขึ้นมากถึง 9.6% หลังจากยักษ์ใหญ่ด้านสมาร์ตโฟนของจีนประกาศวันเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าคันแรก

KEY

POINTS

  • หุ้น Xiaomi พุ่งขึ้นมากถึง 9.6% หลังประกาศวันเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าคันแรก 28 มี.ค.2567

  • ช่วงที่ผ่านมา บริษัทให้คํามั่นว่าจะลงทุน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.5 แสนล้านบาท) ในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า


     

สำนักข่าวไฟแนนเชียลไทม์ส (Financial Times) รายงาน (12 มี.ค.67)  ว่า หุ้น Xiaomi ซึ่งจดทะเบียนในฮ่องกงพุ่งขึ้นมากถึง 9.55% ณ เวลา 12.30 น. ตามเวลาประเทศไทย หลังจากยักษ์ใหญ่ด้านสมาร์ตโฟนของจีนประกาศวันเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าคันแรก

โดยบริษัท จะเริ่มขายรถซีดาน "Xiaomi SU7"  ในวันที่ 28 มี.ค.67 โดยไม่เปิดเผยราคารถ โดย Xiaomi ซึ่งประสบความสําเร็จในการผลิตสมาร์ตโฟนราคาไม่แพงพร้อมคุณสมบัติระดับพรีเมียมเปิดตัวกิจการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในปี 2021

Xiaomi SU7 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก Xiaomi SU7 

โดยบริษัท ให้คํามั่นว่าจะลงทุน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.5 แสนล้านบาท) ในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และวางตําแหน่งรุ่นแรกให้เป็นผู้ท้าชิงกับปอร์เช่ และเทสลา ซึ่งบริษัทเข้าสู่ตลาด EV ของจีนในช่วงเวลาของการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และสงครามราคาที่โหดร้าย

 

 

ทั้งนี้ประเทศจีนเข้ามาในอุตสาหกรรมอีวีตั้งแต่ปี 2000 ช่วงนั้นตลาดรถยนต์สันดาปภายในของสหรัฐ เยอรมนี และญี่ปุ่น แข็งแกร่งจนรัฐบาลจีนไม่สามารถเอาชนะได้ในขณะที่รถยนต์ไฮบริดญี่ปุ่นก็เป็นเจ้าตลาด

หุ้น Xiaomi พุ่งเฉียด 10% หลังบริษัท ระบุวันขายรถยนต์ EV รุ่นแรก 28 มี.ค.67

หุ้น Xiaomi พุ่งหลังประกาศวันขายรถอีวีรุ่นแรก

ดังนั้นรัฐบาลจีนจึงพยายามใช้ช่องว่างของตลาดอย่างรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าอย่างเดียว ท่ามกลางความเสี่ยงที่สูงมากเพราะตลาดรถยนต์อีวีอยู่ในสภาวะทดลองตลาด แต่จีนช่วงนั้นยังมุ่งมั่นว่า รถยนต์อีวีคือโอกาสสำคัญที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมรถยนต์

ยอดขายรถยนต์อีวีทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 7 แสนล้านคันในปี 2016 ไปอยู่ที่ 13.9 ล้านคัน ในปี 2023 โดยจีนเป็นผู้ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าอันดับหนึ่งของโลกมาโดยตลาด ซึ่งในปี 2021 , 2022 และ 2023 อยู่ที่ 3.3 ล้านคัน 6 ล้านคัน และ 8 ล้านคัน ตามลำดับ

นอกจากนี้ ฝั่งผู้ใช้ ในปี 2010 ยอดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมีลักษณะแบบกระจายตัวอย่างเท่าๆ กันโดยอันดับหนึ่งคือ สหรัฐ 3,800 คัน ญี่ปุ่น 3,500 คัน นอร์เวย์ 2,700 คัน จีน 1,600 คัน และสหราชอาณาจักร 1,500 คัน

แต่เวลาผ่านไปเพียง 12 ปี จีนขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์อีวีมากที่สุดในโลกที่ 11 ล้านคัน ตามมาด้วยสหรัฐ 2.1 ล้านคัน เยอรมนี 1 ล้านคัน ฝรั่งเศส 6.2 แสนคัน และนอร์เวย์ 5.9 แสนคัน

อ้างอิง

Financial Times 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์