‘ระเฑียร’นำทัพ‘เอ็กซ์สปริง’ ลั่นอย่าเพิ่ง‘คาดหวัง’ชี้อยู่ในช่วงตั้งไข่
“เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล” เดินหน้าปฏิรูปองค์กรครั้งใหม่ วางรากฐานธุรกิจ หนุน “กำไร” โตต่อเนื่อง พร้อมด้วย “ฐานทุน” แกร่งระดับ “หมื่นล้าน” ปีนี้ชูเรือธง “ธุรกิจวาณิชธกิจ-เวลธ์แมเนจเมนท์” ดันรายได้แตะ “พันล้าน” เติบโต 57% จากปีก่อน
ในปีนี้ซึ่งครบรอบ 50 ปีของ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG ถือเป็นอีกก้าวย่างที่สำคัญแห่งการปฏิรูปองค์กรครั้งใหญ่ภายใต้แนวคิด “Lessons Learned for Better Tomorrow เรียนรู้และพัฒนาเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน” ใน 3 ด้านหลักๆ ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงาน ,การพัฒนาศักยภาพพนักงาน และการเพิ่มศักยภาพทางด้านเทคโนโลยี ให้สามารถตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้ามากขึ้น
“ระเฑียร ศรีมงคล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG เปิดเผยว่า ในปี 2567 ตั้งเป้าหมายรายได้ 1,000 ล้านบาท เติบโต 57% มาจากดอกเบี้ยกำไรจากการลงทุนและเงินปันผล จำนวน 600 ล้านบาท สัดส่วน 60% ,ค่าธรรมเนียมและบริการจำนวน 300 ล้านบาท สัดส่วน 30% และ ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุน จำนวน 100 ล้านบาท สัดส่วน10%
จากปี 2566 ที่มีรายได้รวม จำนวน 681.1 ล้านบาท มาจจากรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลจำนวน 505.7 ล้านบาท สัดส่วน 77% รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ จำนวน 87.2 ล้านบาท สัดส่วน 14% และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุน จำนวน 75.7 ล้านบาท สัดส่วน 9%
สำหรับ แผนกลยุทธ์ในปี 2567 จะมาจาก “ธุรกิจวาณิชธนกิจ” และ “ธุรกิจเวลธ์แมเนจเมนท์” ซึ่งถือว่าเป็น “เรือธง” หรือ “Flagship” พร้อมกับมุ่งปฏิรูปองค์กรครั้งใหญ่ ปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจอื่นๆ ที่เหลือ โดยจะพิจารณาความคุ้มค่าของการเข้าลงทุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ “กำไร” เติบโต
พร้อมการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงาน , การพัฒนาศักยภาพพนักงาน และการเพิ่มศักยภาพทางด้านเทคโนโลยี ให้สามารถตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้ามากขึ้น รวมถึงการเปิดใช้แอปพลิเคชั่น ของบริษัทภายในปีนี้ด้วย ดังนั้น เรายังมั่นใจว่าการทำกำไรของบริษัทในปีนี้จะดีกว่าปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 106.09 ล้านบาท
“ปีนี้เป็นปีที่มีความผันผวน ก็มีจุดดี เพราะในความผันผวนมีทั้งความเสี่ยง แล้วก็มีโอกาสด้วย หากเราไม่ทำอะไรที่ท้าทายกับความเสี่ยงที่มากเกินไป ก็จะเป็นโอกาสที่ดีเรารู้ว่า ตัวเลขกำไรที่ 100 ล้าน ไม่ใช่ตัวเลขที่นักลงทุนพอใจ ขออย่าคาดหวังว่าตัวเลขกำไรปีนี้จะก้าวกระโดด แต่กำไรของเราจะเพิ่มขึ้น เพราะปัญหาที่มีอยู่เป็นสิ่งที่สะสมมาก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง เราต้องมีการวางรากฐาน ค่อยๆเติบโต เมื่อเห็นว่ากำไรโตก้าวกระโดดขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็แสดงว่าแฟลตฟอร์มนี้ใช้ได้แล้ว”
“ระเฑียร” กล่าวต่อว่า สำหรับบริการทางเงินของบริษัท ปัจจุบันครอบคลุม “6 ธุรกิจ” ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านวาณิชธนกิจ , ธุรกิจสินเชื่อ ,ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง , ธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์และสินทรัพย์ดิจิทัล, ธุรกิจการลงทุน และธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
ขณะที่ ฐานะเงินทุนของบริษัทมีระดับ “ความแข็งแกร่ง” ปัจจุบันอยู่ที่ 9,000 ล้านบาท และจะเพิ่มเข้ามาในเดือนเม.ย. อีก 1,000 ล้านบาท ถือว่าเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ
สำหรับธุรกิจบริการด้านวาณิชธนกิจ ตั้งเป้าหมายจะเป็นผู้นำทางการเงินในโลกการเงินยุคใหม่ เชื่อมระหว่างผู้ที่ต้องการลงทุนกับผู้ที่ต้องการเงินทุน ซึ่งในสภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้พบว่า ยังมีธุรกิจทื่ต้องการเงินทุนอีกไม่น้อยตรงนี้ก็เป็นโอกาสที่ดี ขณะเดียวกันทีมวาณิชธนกิจก็ยังเป็นจุดแข็งที่สำคัญที่จะเป็นธุรกิจที่ทำรายได้หลักอยู่ หากมีการปรับโครงสร้างที่ดี ก็จะสามารถบรรลุตามแผนงานในอนาคตได้
“เอ็กซ์สปริง อาจไม่ใช่ระดับโกลบอล คอมปานี แต่ถ้าจะเทียบระดับกลางๆ ซึ่งกลุ่มลูกค้า SET 100 หรือ mai เราแข่งขันได้ มีครบวงจรถือว่า มีโอกาสไม่แพ้คนอื่น ช่วง 2 เดือนทีผ่านมา เราสามารถปิดดีมากขึ้นและลูกค้าเข้ามาหารือมากขึ้น เป็นโอกาสเติบโตได้”
ส่วนทางด้าน “ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ” คาดว่าปีนี้จะเริ่มมีกำไรได้จาก จาก 2 ปีก่อน ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจนี้ ปี 2566 มีพอร์ตบริหารหนี้ อยู่ประมาณ 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 อยู่ที่ 500 ล้านบาท และยังขยายพอร์ตบริหารหนี้ในปีนี้ วางเป้าหมายซื้อหนี้เพิ่มอีกจำนวน 1,000-1,500 ล้านบาท โดยจะใช้วงเงินเพิ่มทุนที่จะเข้ามาในเดือนเม.ย.นี้ จำนวน 1,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ทางด้าน “ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล” เรายังคงศึกษาตลาดและการออกผลิตภัณฑ์สินทรัพย์ดิจิทัลใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องไม่ใช่สินทรัพย์ดิจิทัลที่หวือหวาไปตามกระแส แต่เป็นการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอและธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง หรือ บลจ. จะเข้าปรับปรุงโมเดลธุรกิจใหม่ที่สามารถขยายธุรกิจและทำกำไรได้เพิ่มขึ้น