ภารกิจติดปีก‘เอ็กซ์สปริง’ ‘ระเฑียร’ ประกาศมุ่งสู่ความสำเร็จเหมือน เคทีซี
เคยพลิกฟื้น บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC จากผลประกอบการปี 2554 “ติดลบ” 1,621 ล้านบาท ให้พลิกกลับมาเป็น “กำไร” สำเร็จมาแล้ว
และมาวันนี้... อยากทำแบบนั้นให้เกิดขึ้นอีกครั้ง !! นี่คือประโยคเด็ดของชายชื่อ “ระเฑียร ศรีมงคล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG ที่เข้ามาการขับเคลื่อนองค์กรแห่งนี้ ด้วยการประกาศ “ทรานฟอร์มเมชั่น” เร่งปั้นรายได้ปี 2567 ให้เห็นระดับ “พันล้านบาท” เป็นน้ำจิ้มก่อน...
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2555 แวดวงการเงินเริ่มรู้จัก “ระเฑียร ศรีมงคล” ดีกรีแพทย์ศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ชีวิตวัยทำงานของ “ระเฑียร” เริ่มจากเป็นหมอรักษาโรคทั่วไป และในเวลาต่อมาได้เข้าสู่วงการธนาคาร (แบงก์) โดยทำงานให้กับธนาคารหลายธนาคาร ก่อนก้าวขึ้นสู่เส้นทาง “ซีอีโอ” 12 ปี ของบัตรเครดิต KTC ตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งในแง่ของการบริหารองค์กรอย่าง KTC ดูภาพของผลประกอบการตั้งแต่ปี 2555-2566 ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก
ดังนั้น มาวันนี้ !! “ระเฑียร” ปรากฎชื่อนั่งคุมบังเหียนใหญ่ของ “เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล” ซึ่งมีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่คือ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI สัดส่วน 13.03% (ตัวเลข 15 มี.ค.2566) ซึ่งการเข้ามารับภารกิจดังกล่าวยอมรับอยู่บนความ “คาดหวัง” ของนักลงทุนจะต้องประสบความสำเร็จเฉกเช่นเดียวกับที่เคยพลิกฟื้น KTC
ก่อนอื่นคงต้องบอกว่าการทำ “บิซิเนสทรานฟอร์มเมชั่น” ของ XPG นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถือเป็น “ความท้าทาย” แต่ด้วยประสบการณ์สะสมมานานและบวกกับความเก๋า ดังนั้น เชื่อว่าเป้าหมายที่อยากทำให้ XPG เป็นเหมือน KTC คงไม่ยากเกินไปแต่อาจจะไม่ได้หวือหวาแต่เชื่อจะทำให้ประสบความสำเร็จได้ !!
“ผมอายุขนาดนี้แล้วไม่จำเป็นต้องสร้างกระแส แต่ผมต้องการสร้างรากฐานของธุรกิจ ไม่ว่าเงินเฟ้อจะพุ่งสูงแค่ไหน เศรษฐกิจจะฝืดเคือง เละเทะ แต่ธุรกิจที่สร้างยังเติบโตและมีกำไรได้อย่างที่เคยทำสำเร็จมาแล้วอย่าง KTC ซึ่งผมยังมีไฟอยากทำแบบนั้นต่อไป”
โดยปัจจุบัน XPG กำลังอยู่ในช่วง “ตั้งไข่” ดังนั้น ต้องมีการกำหนดกลยุทธ์ลงทุนให้ชัดเจน การสร้างทีมสร้างคน ต้องอาศัยระยะเวลา ในทุกๆ ธุรกิจที่มี “3 กลุ่ม 6 ธุรกิจ” โดยต้องเริ่มปรับโครงสร้างใหม่ พิจารณาธุรกิจไหน “คุ้มค่า” ในการลงทุนอยู่หรือไม่ !
“ระเฑียร” ฉายภาพต่อว่า หลังจากวางฐานรากสำเร็จ สเต็ปต่อไปจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นโดยเติบโตขึ้นทุกๆ ปี แต่ยอมรับว่าฐานรากของ XPG แตกต่างจาก KTC ด้วยโมเดลธุรกิจต่างกันหลายอย่าง ในปี 2567 จึงเป็นปีแห่งการวางฐานราก ปรับทัพใหม่ ดังนั้น ช่วงปลายปีจะเห็นภาพชัดเจน จึงอยากจะให้นักลงทุนเข้าใจ แต่ขอให้เชื่อมั่นจะเห็น XPG เติบโตกำไรไต่ระดับดีขึ้นทุกๆ ปี !!
เป้าหมายข้างหน้าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น “เราจะเป็นผู้นำโลกการเงินยุคใหม่ เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างคนต้องการเงินทุนกับคนมีเงินทุนต้องการลงทุน” เพราะมองโอกาสในตลาดนี้ยังมี “ช่องว่าง” ในการให้บริการภายใต้ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ซบเซา ผู้ประกอบการต้องการเงินทุน สะท้อนผ่านภาพการขอขยายเวลาชำระคืนหนี้หุ้นกู้บ้างแล้ว แม้จะยังเป็นสัดส่วนไม่สูงมากก็ตาม
ขณะที่ XPG มี “จุดแข็ง” คือ เข้าใจ “ธุรกิจวาณิชธนกิจ” (IB) มีทีมวางกลยุทธ์ รวมถึงวางแผนหาแหล่งเงินทุน และสามารถปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อให้บริษัทสามารถบรรลุวัตถุประสงค์หรือแผนงานที่บริษัทเคยตั้งเอาไว้ได้
นอกจากนี้ ยังเสริมความมั่นใจได้ด้วย “ฐานเงินทุน” ที่แข็งแกร่ง ซึ่งในปัจจุบันที่ระดับ 9,000 ล้านบาท และจะมี “เงินเพิ่มทุน” เข้ามาอีก 1,000 ล้านบาท ในเดือนเม.ย.นี้ รวมทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาท ถือว่าเพียงพอที่จะสนับสนุนกับธุรกิจที่ต้องการแหล่งเงินทุนได้ ซึ่งธุรกิจ IB ที่ผ่านมาไม่ค่อยโดดเด่นมากนัก ซึ่งทำให้มองเห็นโอกาสดังกล่าว และจากประสบการณ์เทียบแล้ว XPG ไม่ใช่ระดับ “โกลบอล คอมปะนี” แต่หากเทียบกับระดับกลางๆ อย่างบริษัทระดับSET 100 หรือ mai เราเป็นคนที่มีโอกาสมากกว่าไม่แพ้คนอื่น
ขณะเดียวกัน ปีนี้เป็นปีที่มีความผันผวน ซึ่งก็มีจุดดี เพราะในความผันผวนมีทั้ง “ความเสี่ยง” และ “โอกาส” ด้วยหากเราไม่ทำอะไรที่ท้าทายกับความเสี่ยงที่มากเกินไปก็เป็นโอกาสที่ดี
อย่างไรก็ตาม ได้คิดวิเคราะห์กลยุทธ์ที่เป็นไปได้จริง และสิ่งที่เราจะทำคือ การวางโครงสร้างและการวางรากฐานธุรกิจ เป็นพิมพ์เขียว ที่จะทำได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยต้นทุนที่ต่ำ ขณะเดียวกับสามารถให้ผลตอบแทนกับนักลงทุนที่สูงเพียงพอ
แต่ไม่ได้หมายความว่า วันนี้ผมจะสามารถทำได้ทันที เพราะ เรายังจะต้องปรับปรุงและวางรากฐาน ซึ่งในปีนี้ XPG จะเข้าสู่บิซิเนสทรานฟอร์มเมชั่นในอีกหลายส่วน หลังจากธุรกิจวาณิชธนกิจเป็น “จุดแข็ง” แล้ว
“กำไรของเราจะดีขึ้น แต่อย่าเพิ่งคาดว่ากำไรจะก้าวกระโดด ซึ่งรายได้แค่ระดับพันล้านบาทไม่ได้มาก เพราะปัญหาที่มีอยู่เป็นสิ่งที่สะสมมาก็ต้องใช้ระยะเวลาหนึ่ง แต่ปีนี้เป็นที่เราจะสร้างรากฐานธุรกิจและวางกลยุทธ์ที่สามารถจะคาดหวังได้ว่า กำไรของเรายังสามารถเติบโตได้ต่อ และเมื่อเห็นว่ากำไรโตก้าวกระโดดขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็แสดงว่าการปรับโครงสร้างธุรกิจ หรือ แฟลตฟอร์มนี้ของเราเริ่มเข้าที่เข้าทาง และใช้ได้แล้ว”
สำหรับกลยุทธ์ของ XPG ทางด้านบริการวาณิชธกิจ ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงและมีความซับซ้อน แต่เรามีความครบวงจร ไม่แพ้ใคร จะพบว่าช่วงที่ผ่านมาปีนี้ มีหลายดีลที่ปิดได้และมีอีกหลายดีลที่คุยกันอยู่
ท้ายสุด “ระเฑียร” ฝากไว้ว่า คนจีนบอกว่าชีวิตเริ่มต้นตอนอายุ 50 ปี ผมคิดว่า XPG ปีนี้ครบรอบ 50 ปี ก็กำลังจะเริ่มต้นเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมาอาจได้ทำในสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว แต่เราไม่กลัวความผิดพลาด แต่สิ่งที่เรากลัวมากที่สุด คือ ความผิดพลาดซ้ำซาก ดังนั้น เราจึงพยายามประมวลสิ่งเหล่านี้ให้ดีที่สุด