SCCC กำไร Q1/67 โต 51% ทำได้ 1,147 ล้านบาท

SCCC กำไร Q1/67 โต 51% ทำได้ 1,147 ล้านบาท

บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) เปิดกำไรไตรมาสแรกปีนี้ 1,147 ล้านบาท โต 51% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และยังดีขึ้นจากไตรมาส 4 ปีที่แล้ว 39% แม้มีความท้าทายของภาวะในประเทศ ทว่าฐานต่างประเทศยังแกร่ง และบริหารงานโดยรวมได้ประสิทธิภาพสูง คาดโค้งไตรมาส 2 นี้สถานการณ์ดีขึ้น

นายรานจัน ซาซเดอวา รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC เปิดเผยว่า ไตรมาสที่ 1/2567 ผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 39% จากไตรมาส ก่อน และเพิ่มขึ้น 51% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยได้แรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในต่างประเทศ ประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น ต้นทุนพลังงานที่ลดลง และได้ประโยชน์จากการปรับโครงสร้างทั่วทั้งกลุ่มบริษัท ซึ่งช่วยชดเชยผลประกอบการในประเทศไทยที่ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย

SCCC กำไร Q1/67 โต 51% ทำได้ 1,147 ล้านบาท

กลุ่มบริษัท มีรายได้จากการขายสุทธิเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบไตรมาสก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบไตรมาสก่อนทั้งในประเทศไทย และศรีลังกา แม้ว่าจะมีแรงกดดันทางด้านราคาขายอย่างต่อเนื่องกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบไตรมาสก่อนและ 38% เมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งการเพิ่มขึ้นจากปีก่อนส่วนใหญ่มาจากการดำเนินงานในต่างประเทศที่ดีขึ้น 26% และในประเทศไทยดีขึ้น 12% โดยได้แรงหนุนจากต้นทุนพลังงานความร้อนและต้นทุนคงที่ลดลง และประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้น

กำไรสุทธิของบริษัทในไตรมาส 1/2567 เพิ่มขึ้นเป็น 1,147 ล้านบาท จาก 827 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน เพิ่มขึ้น 39% โดยได้ประโยชน์จากกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราดาที่เพิ่มขึ้น และได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาที่ลดลงในประเทศไทยถูกชดเชยด้วยการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานในต่างประเทศโดยเฉพาะศรีลังกา ธุรกิจในประเทศไทยชะลอตัวลงทั้งปริมาณ และราคาขาย 

อย่างไรก็ตาม ต้นทุนถ่านหินที่ลดลง และประสิทธิภาพการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นมีส่วนช่วยรักษาอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาได้บางส่วนตลาดศรีลังกาแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวขึ้นท่ามกลางเศรษฐกิจที่เข้าสู่สภาวะปกติหลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เข้ามาช่วยเหลือตลาดเวียดนามตอนใต้แสดงสัญญาณของการฟื้นตัวเช่นกัน ความต้องการปูนซีเมนต์มากขึ้นทั้งปูนถุง และปูนผง

อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 โดยปกติจะได้รับผลกระทบจากวันหยุดยาวในเทศกาลปีใหม่ (Tet Holiday) ในเดือนกุมภาพันธ์ และการปิดเตาเผาตามแผนในเดือนมีนาคม ตลาดเวียดนามมีสัญญาณของการฟื้นตัว ซึ่งสะท้อนจากการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศ การเกินดุลทางการค้า การฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ การใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนจากภาครัฐ และความต้องการปูนซีเมนต์ทั้งปูนถุง และปูนผงที่เพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทได้รายได้จากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้นจากปริมาณการขายมากขึ้น และราคาขายที่ดีขึ้นจากการปรับส่วนของการขายสินค้า แต่ละชนิดให้เหมาะสม ในขณะที่รายได้จากกิจการร่วมค้าที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น และต้นทุนที่ลดลง

โดยรายได้ของบริษัทส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการขายปูนซีเมนต์ และคอนกรีตผสมเสร็จ ซึ่งคิดเป็น 87% ของรายได้รวมในไตรมาส 1/2567 โดยรายได้ส่วนใหญ่ของกลุ่มบริษัท มาจากประเทศไทย ซึ่งคิดเป็น 72% ของรายได้ทั้งหมด

ขณะที่ประเมินเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวหลังจากงบประมาณภาครัฐที่คาดจะอนุมัติในไตรมาส 2/2567 ประกอบกับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงมีความท้าทายจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และการมีแข่งขันสูงในบริเวณจังหวัดชายแดนประเทศไทย
บริษัท คาดว่าเศรษฐกิจในเวียดนามจะขยายตัวต่อได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 เนื่องจากรัฐบาลได้ใช้นโยบายแบบขยายตัว และมีการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยสำหรับที่อยู่อาศัยลดลงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ส่วนในศรีลังกา บริษัทคาดว่าตลาดปูนซีเมนต์จะค่อยๆฟื้นตัวขึ้นจากเศรษฐกิจที่กำลังเข้าสู่สภาวะปกติ อัตราแลกเปลี่ยนที่มีเสถียรภาพมากขึ้น มีการช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และอัตราเงินเฟ้อที่กำลังอ่อนตัวลง

นอกจากนี้ บริษัทได้มีกลยุทธ์ในการเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดที่ทำกำไรได้ดี และเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างต้นทุนภายในบริษัท ทางด้านต้นทุนคงที่ บริษัทได้พยายามลดค่าใช้จ่ายในด้านการผลิต การจัดจำหน่าย และค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหาร ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานมากขึ้น ทั้งนี้ แม้ว่าราคาถ่านหินในปัจจุบันจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สามารถส่งผลให้ราคาสูงขึ้น และทำให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ 

บริษัทจึงมุ่งมั่นที่จะเพิ่มการใช้วัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัท อีกทั้งยังมีเป้าหมายที่จะลดผลกระทบต่อกำไรของบริษัท จากความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิม 

อีกทั้ง บริษัทคาดว่าโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีกำหนดแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2568 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืนของบริษัท และยังสามารถช่วยให้ต้นทุนอยู่ในระดับต่ำ และเพิ่มอัตราการทำกำไรเพื่อรับมือกับความผันผวนของความต้องการตลาด ความผันผวนของอัตราเงินเฬอ และเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน

บริษัทยังคงมุ่งมั่นต่อวัตถุประสงค์ในการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (ESC) ซึ่งในไตรมาสนี้ อัตราการใช้พลังงานทดแทน (TSR) ของกลุ่มบริษัทอยู่ที่ 27.3% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 21.2% ในปี 2566 และ 16.4% ในปี 2565 นอกจากนี้ SCCC ยังสามารถลดการใช้ปูนเม็ดลงเหลือ 71.6% จาก 72.6% ในปี 2566 ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์