‘หุ้น 7 นางฟ้า’เริ่มหมดเสน่ห์ ? กระแส AI ดัน 'อินวิเดีย'กำไรมากสุดในไตรมาส 1 ปี 67

‘หุ้น 7 นางฟ้า’เริ่มหมดเสน่ห์ ? กระแส AI ดัน 'อินวิเดีย'กำไรมากสุดในไตรมาส 1 ปี 67

“หุ้น 7 นางฟ้า”รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2567 ทุกบริษัทจับกระแส AI ดัน 'อินวิเดีย'กำไรมากสุด ด้านไมโครซอฟท์และอัลฟาเบทบริษัทแม่กูเกิลการเติบโตโดดเด่น สวนทาง “เทสล่า”ทำผลงานยอดแย่ กำไรร่วง 55%

สิ้นสุดฤดูกาลของการประกาศงบการเงินไตรมาส 1 ปี 2567 พร้อมกับการประกาศข้อมูลเงินเฟ้อที่ร้อนแรงกว่าคาดการณ์ ทำให้นักลงทุนอยู่ในโหมด "หนีความเสี่ยง" เนื่องจากความคาดหวังเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดลงอย่างมาก ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นในตลาดจนดัชนีแนสแด็กที่มีหุ้นเทคโนโลยีปิดตลาดลดลง 1.62% 

หนึ่งในกลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือ  หุ้นกลุ่ม Magnificent Seven หรือ “หุ้น 7 นางฟ้า”  บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่กลุ่มนี้ ประกอบด้วย Alphabet (GOOGL), Amazon (AMZN), Apple (AAPL), Meta Platforms (META), Microsoft (MSFT), Nvidia (NVDA) และ Tesla (TSLA) เคยเป็นแรงขับเคลื่อนตลาดหุ้นแนสแด็ก( Nasdaq)ให้พุ่งขึ้น 44% ในปี 2566 ด้วยแรงหนุนจากความต้องการอย่างมหาศาลในธีมปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI

‘หุ้น 7 นางฟ้า’เริ่มหมดเสน่ห์ ? กระแส AI ดัน \'อินวิเดีย\'กำไรมากสุดในไตรมาส 1 ปี 67

‘โครซอฟท์ อินวิเดีย อัลฟาเบท’ 3 ผู้นำกำไรโต

ไมโครซอฟท์และอินวิเดีย เป็น 2 บริษัทดาวเด่นด้านปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในปีนี้ ซึ่งทั้ง 2 บริษัทมีผลประกอบการดีกว่าดัชนี S&P 500  


นำโดย “อินวิเดีย” มีรายได้  2.2 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 265% และมีกำไร 1.2 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 768% โดยราคาหุ้นพุ่งขึ้นมากถึง 78%นับตั้งแต่ต้นปี และเพิ่มขึ้น 194% ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา

 เนื่องจากกระแสความต้องการชิปขั้นสูงสำหรับประมวลผล AI ทำให้อินวิเดียได้รับความสนใจจากนักลงทุน รวมทั้งโปรเจกต์ต่างๆที่ต่อยอดจาก AI กว่า 8 โปรเจกต์ เช่น หุ้นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ,GR00T โปรเจกต์สร้างหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ และล่าสุดคือ Blackwell ชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในโลก

ในขณะที่ “ไมโครซอฟท์” มีรายได้  6.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เติบโต17% และ กำไร 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 19.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  ทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 12% นับตั้งแต่ต้นปี และเพิ่มขึ้น 30.26% ในตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมา

นักลงทุนจับตาอนาคต Nvidia และ Microsoft ว่าจะสามารถเดินหน้าผลักดันให้เกิดกระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) จนราคาหุ้นพุ่งทะยานอย่างที่เคยเกิดขึ้นในตลาดเหมือยกับปีที่ผ่านมาได้หรือไม่ ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า Google หรือ Microsoft จะเข้ามาคว้าส่วนแบ่งตลาดก้อนโตของบริการที่เกิดขึ้นจาก AI

ในขณะเดียวกัน “อัลฟาเบท” บริษัทแม่ “กูเกิล” เผยว่าผลประกอบการไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2567 ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 มีรายได้รวม 8.05 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15.3 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.36 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 57.2% โดยราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 13% นับตั้งแต่ต้นปี  และเพิ่มขึ้น  58% ในตลอด 1 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่ได้เปิดตัว Gemini ซึ่งเป็น large language model ล่าสุด 

‘อเมซอนและเมตา’ เดินหน้าพัฒนาธุรกิจ AI

“อเมซอน” เผยผลประกอบการประจำไตรมาส 1 ปี 2567 มีรายได้แตะระดับ 1.43 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13% แต่มีกำไร 1.04 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 228.8%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และตั้งแต่ต้นปีถึงตอนนี้ราคาหุ้นของอเมซอนเพิ่มขึ้น 22% หลังจากพุ่งขึ้น 77.6% ในปีก่อนอเมซอนวางตัวเองให้เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด โดยคาดหวังว่า generative AI จะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ให้กับ Amazon Web Services

บริษัท “เมตา” บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก(Facebook) มีรายได้ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 27.2% ขณะที่มีกำไรเพิ่มขึ้น 116.6% อยู่ที่ 1.2 หมื่นล้าน จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ในตอนนี้ Meta พึ่งพาโฆษณาออนไลน์เป็นแหล่งรายได้หลัก โดยบริษัทสร้างรายได้ 98% จากโฆษณาออนไลน์แสดงให้เห็นถึงการพึ่งพาโมเดลธุรกิจนี้ แต่ซัคเคอร์เบิร์กกำลังเปลี่ยนแปลงโมเดลรายได้ ด้วยการมองหาโอกาสใหม่ ๆ โดยทุ่มเงินลงทุนมหาศาลเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันไปกับ เมตาเวิร์สและAI  แม้ว่ามันจะยังไม่สามารถสร้างรายได้ก็ตาม

‘แอปเปิ้ลกับเทสลา’ ทำผลงานผิดคาด

“แอปเปิ้ล” เปิดผลประกอบการไตรมาสแรก ปีงบประมาณ 2567 สิ้นสุดวันที่ 30 มีนาคม โกยรายได้ 9 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลง 4%  โดยมีกำไร 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลง 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมกับรายงานยอดขายในจีนลดลง 13% แตะที่ 2.08 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 1 ปี 2567 ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 30 ธ.ค. 2566 ต่ำกว่าตัวเลขที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.35 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นไตรมาสที่ยอดขายในจีนลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2563

“เทสลา” ถือเป็นหุ้นเทคในกลุ่ม 7 นางฟ้าที่ถือว่า ทำผลงานได้อย่ายอดแย่ โดยรายงานผลประกอบการมีรายได้ 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลง 8.6% และรายงานผลกำไร 1.1 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
  
ราคาหุ้น Tesla ลดลง 34% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งราคาร่วงจากจุดสูงสุดถึง 40% หุ้น Tesla ถูกเทขายมากเกินไปแล้ว จากธุรกิจของ Tesla จะอยู่ในช่วงขาลง แต่อีลอนมัสก์ เองก็พยายามหาธุรกิจเรือธงเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเทสล่า เช่น รถแท็กซี่ไร้คนขับ (Robotaxis) ไซเบอร์ทรัก และการกลับมาพูดถึงโปรเจกต์รถไฟฟ้าราคาถูกอีกครั้ง

แม้ว่าหุ้น 7 นางฟ้ากลุ่มนี้จะยังคงมีราคาสูงขึ้นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในช่วงหลังลดลงไปพอสมควร แต่ทว่าในตลาดยุคนี้ บริษัทไม่ได้ถูกประเมินมูลค่าจากผลประกอบการที่ผ่านมา แต่พิจารณาจากศักยภาพการสร้างรายได้ในอนาคต

มัสก์รวยขึ้นหมื่นล้าน ส่วนซักเคอร์เบิร์กสูญเกือบ 2 หมื่นล้าน

ตลาดหุ้นมีการผันผวนอย่างมากในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมหาเศรษฐีบางคนได้รับผลกระทบอย่างหนักจากผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่


"อีลอน มัสก์" CEO ของ Tesla และ SpaceX กลายเป็นผู้ที่รวยขึ้นมากที่สุดหลังสิ้นสุดการประกาศงบการเงินในไตรมาสนี้  โดยเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นกว่า 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ขยับขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลก หลังจากที่หุ้น Tesla พุ่งขึ้น 10% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากบริษัทประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ที่ดีกว่าคาด

ในทางกลับกัน มูลค่าหุ้น Meta ดิ่งลง 14% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขผู้ใช้ที่ต่ำกว่าคาด ทำให้ "มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก" CEO ของ Meta กลับสูญเสียเงินไป 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกัน ส่งผลให้ร่วงลงมาอยู่อันดับ 4 ของโลก