เปิด 5 ปัจจัยหนุน ตลาดหุ้นจีน ฟื้นตัวแรง 11% รอบ 34 วัน
ดัชนีหุ้นจีน HSCEI Index ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงราว 11% (1 เมษายน – 4 พฤษภาคม 2024) ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวขึ้นได้ดีอย่างชัดเจน
ตั้งแต่เข้าสู่เดือนเมษายนตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวขึ้นได้ดีอย่างชัดเจน โดยดัชนีหุ้นจีน HSCEI Index ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงราว 11% (1 เมษายน – 4 พฤษภาคม 2024) แต่ถึงแม้หุ้นจีนจะฟื้นตัวขึ้นได้ดีนักลงทุนบางส่วนก็ยังมีความไม่มั่นใจและตั้งคำถามว่า การฟื้นตัวขึ้นของตลาดหุ้นจีนในครั้งนี้ เหมือนหรือแตกต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่เป็นเพียงการฟื้นตัวระยะสั้นก่อนที่จะปรับตัวลดลงแรงอีกครั้งหรือไม่
โดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (บลจ.ทิสโก้) เปิดเผยว่า ปัจจัยหนุนหุ้นจีนให้ปรับตัวขึ้นมาได้ดีในรอบนี้มาจากหลายปัจจัยคือ
1. แนวโน้มขยายตัวของเศรษฐกิจจีน
GDP ไตรมาสแรกปี 2024 ของจีน ออกมาขยายตัวที่ 5.3% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะออกมาขยายตัวที่ 5% จากภาคการผลิตที่ออกมาแข็งแกร่ง โดยพบว่าตัวเลขภาคการผลิตทั้ง Caixin Manufacturing PMI และ China Manufacturing PMI ขยายตัวดีและยืนเหนือ 50 จุด (หมายถึงระดับขยายตัว) จากการฟื้นตัวของอุปสงค์และยอดสั่งซื้อใหม่ ซึ่งสะท้อนถึงสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
2. Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนจีนเอง
ตลาดหุ้นจีนได้รับแรงหนุนจาก Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาในฝั่ง Northbound ( นักลงทุนต่างชาติและฮ่องกงซื้อตลาดหุ้น A-Shares) โดยมียอดซื้อสุทธิต่อเนื่อง 3 เดือนติดต่อกันตั้งแต่เดือนมกราคม 2024 - มีนาคม 2024 ขณะที่ฝั่ง Southbound (นักลงทุนจีนซื้อหุ้นในตลาดหุ้น H-Shares) ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมายอดซื้อ – ขายรายวันจนถึงช่วงต้นเดือนพฤษภาคม มีเพียงวันเดียวเท่านั้นที่ยอดซื้อ - ขายสุทธิเป็นลบ
3. Valuation ของตลาดหุ้นจีน
เมื่อตลาดหุ้นจีนเทียบกับตัวเองในอดีต พบว่า Valuation ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำมาก โดยดัชนี MSCI China Index เทรด fwd P/E เพียง 9.71x ซึ่งยังถูกกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 11.3x และหากนำมาเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นโลกก็ยังพบว่า ดัชนี MSCI World Index เทรด fwd P/E อยู่ที่ 17.91x (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2024) ซึ่งการที่ระดับ Valuation ของหุ้นจีนอยู่ในระดับต่ำ ในขณะเดียวกันตลาดหุ้นของหลายประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนหน้านี้เริ่มมีระดับ Valuation ที่ตึงตัว ส่งผลให้มีเม็ดเงินลงทุนย้ายจากหลายประเทศกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นจีน
4. ปัจจัยเฉพาะตัวของหุ้นกลุ่ม Tech
หลายบริษัทจดทะเบียนในจีนประกาศจ่ายเงินปันผลเพิ่มและซื้อหุ้นคืนจำนวนมาก ท่ามกลาง valuation ที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ ซึ่งถือว่าเป็นการส่งสัญญาณถึงความมั่นใจในธุรกิจ และยังช่วยหนุนอัตราส่วนทางการเงินให้ดูดีขึ้น เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอีกครั้ง โดยบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ประกาศซื้อหุ้นคืนในช่วงที่ผ่านมา คือ Alibaba มูลค่า $25 พันล้าน, Tencent มูลค่า $12.8 พันล้าน, JD.com $3 พันล้าน และ Meituan $1 พันล้าน
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น Tencent ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า +15% หลังจากที่บริษัทได้รายงานผลประกอบการ Q4/2023 รวมถึงประกาศจ่ายเงินปันผลและประกาศแผนเพิ่มการซื้อหุ้นคืนด้วยวงเงินที่มากขึ้นจากปีก่อนหน้า นอกจากนี้ ราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นยังได้รับแรงหนุนจากโอกาสการเติบโตของบริษัทจากการเปิดตัวเกมใหม่ Dungeon & Fighter Mobile ในเดือน พ.ค. 2024 นี้
5. นโยบายการสนับสนุนของทางการจีน
นับตั้งแต่ต้นปี ทางการจีนออกมาตรการกระตุ้นที่ค่อนข้างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นมาตรการด้านตลาดทุน เช่น มาตรการควบคุมการ Short-selling, ประกาศสนับสนุนตลาดหุ้นฮ่องกง และผ่อนปรนกฏเกณฑ์เพื่อให้นักลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่สามารถเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น และล่าสุดทางการจีนกำลังพิจารณาคำร้องขอของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (SFC) ฮ่องกงเกี่ยวกับเรื่องการยกเว้นภาษีเงินปันผลที่ได้รับจากหุ้นฮ่องกงที่ซื้อผ่าน Stock Connect เพื่อดึงดูดนักลงทุนอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนภาคอสังหาฯ โดยการผ่อนปรนกฏเกณฑ์ในการซื้อบ้านตามหัวเมืองใหญ่ต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนช่วยให้ความคาดหวังต่อยอดขายบ้านมีทิศทางที่ดีขึ้น
ด้านนโยบายการเงิน มีการปรับลด RRR 50 bps. รวมถึงมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR 5 ปี ลง 25 bps. โดยนักวิเคราะห์คาดหวังว่าธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินมากกว่านี้ เพื่อเป็นส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตที่ 5% ในปีนี้
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าปัจจัยที่สนับสนุนให้ตลาดหุ้นจีนปรับเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ มีความแตกต่างจากครั้งที่ผ่าน ๆ มา ทำให้นักลงทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีน สามารถคาดหวังได้ว่าการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นจีนในครั้งนี้จะเป็นการปรับเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาวและปรับขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ
อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงต้องติดตามต่อจากนี้ คือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนว่าจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่หรือไม่โดยเฉพาะภาคการบริโภคที่ตัวเลขยอดค้าปลีกของจีนที่ยังคงออกมาฟื้นตัวได้อย่างไม่เต็มที่มากนัก นอกจากนี้ความเสี่ยงจากความขัดแย้งกับสหรัฐฯ จะเริ่มเพิ่มมากขึ้นหลังจากนี้เนื่องจากใกล้การเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งท่าทีที่แข็งกร้าวกับจีนน่าจะเป็นประเด็นที่ผู้สมัครทั้ง 2 คนนำมาหาเสียงเลือกตั้ง
ซึ่งในการพิจารณาลงทุนในหุ้นจีนเพิ่มเติมอาจจะต้องดูจากสัดส่วนเดิมที่มีอยู่แล้วว่ามีหุ้นจีนมากเกินไปหรือไม่ รวมถึงความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ แต่หากนักลงทุนที่ยังไม่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีนหรือได้มีการลดสัดส่วนการลงทุนไปแล้ว ในช่วงเวลานี้ถือเป็นอีกหนึ่งจังหวะที่ดีในการพิจารณาลงทุนหุ้นจีนเพิ่มเติม