หุ้น TEGH นิวไฮ อานิสงส์ออเดอร์ EUDR ทะลัก อุตฯ ยางทั่วโลกใส่ใจ Climate Change

หุ้น TEGH นิวไฮ อานิสงส์ออเดอร์ EUDR ทะลัก อุตฯ ยางทั่วโลกใส่ใจ Climate Change

หุ้น TEGH นิวไฮรอบปี อานิสงส์ราคายางฟื้น แถมงบ Q2/67 เป็นต้นไปได้ปัจจัยบวกจากการเริ่มส่งออกยางมาตรฐาน EUDR ที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารชี้เริ่มได้ออเดอร์จัดหนัก Q3/67 หวังปีหน้าเป็นสัดส่วน 80% ของรายได้การส่งออกสินค้ายางพร้อมกับยกระดับกำไรให้สูงขึ้น

ผู้สื่อข่าวราคาราคาหุ้น บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH กำลังสร้างจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 1 ปี โดยเฉพาะวันนี้ 7 มิ.ย. 2567 ราคาล่าสุด ณ เวลา 15.07 น. อยู่ที่ 3.96 บาท เปลี่ยนแปลง 0.54 บาท คิดเป็นการเพิ่ม 15.79% จากราคาปิดทำการวานนี้ ซึ่งสอดคล้องกับปัจจัยราคายางพาราที่เริ่มฟื้นตัวทั้งอุตสาหกรรม
 

นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ TEGH เปิดเผยว่า จากปัญหาความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันไม่ปกติผลพวงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกกลับมาส่งเสริมการทำธุรกิจโดยกำหนดมาตรฐานเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมยางล้อรถ ต้องใช้วัตถุดิบตั้งต้นจากยางแท่งซึ่งนับเป็นในสินค้าหลักของ TEGH บรรดาผู้ผลิตรายใหญ่ระดับโลกมีความพยายามลดการก่อมลพิษ โดยฝั่งยุโรปจึงมีการกำหนดระเบียบว่าด้วยสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป หรือ EUDR ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ 30 ธ.ค. 2567

ส่งผลให้สินค้าหลายประเภทรวมถึงยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางแปรรูปจะต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าผ่านมาตรฐาน EUDR เพื่อนำเข้าไปยุโรป ซึ่งต่อไปมาตรฐานนี้จะใช้กันทั่วโลก

TEGH มีบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลัก 3 ธุรกิจ ได้แก่ ยางธรรมชาติ น้ำมันปาล์มดิบ และพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์

ปัจจุบันบริษัทเริ่มมีส่งสินค้ายางภายใต้มาตรฐาน EUDR ไปยังยุโรปบ้างแล้ว คาดไตรมาส 2/2567 จะส่งออกได้ 7 พันตัน และจะส่งออกมากขึ้นอย่างชัดเจนนับแต่ไตรมาส 3/2567 เป็นต้นไป ตามเป้าหมายการส่งออกยาง EUDR ทั้งปี 2567 ที่ 1 แสนตัน และปี 2568 ที่ 2.5 แสนตัน ซึ่งจะคิดเป็นสัดส่วน 80% ของยอดขายสินค้ายางแทงทั้งหมดของบริษัท

"ต่อจากนี้ยาง EUDR จะกลายเป็นมาตรฐาน ซึ่งถ้าผู้ผลิตยางพารารายใดทำไม่ได้ ก็จะหาตลาดยากขึ้นหรืออาจต้องขายในราคาอีกเกรดที่ไม่ได้มูลค่านัก"

ทั้งนี้ไตรมาส 1/2567 ผลการดำเนินงาน TEGH มีรายได้จากธุรกิจยางธรรมชาติทั้งยางแท่งและน้ำยางรวม 3,328.30 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจปาล์มน้ำมัน 345.15 ล้านบาท ส่งผลมีรายได้รวม 3,739.59 ล้านบาท

พร้อมกันนี้ประเมินทิศทางไตรมาส 2/2567 ผลการดำเนินงานจะสูงขึ้นอีกจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น และราคายางปัจจุบันที่กลับเป็นขาขึ้น มีการประมูลในตลาดแตะ 80 บาทต่อกิโลกรัม จากช่วงต้นปีอยู่เพียง 40-50 บาท ต่อกิโลกรัม และที่สำคัญบริษัทเริ่มส่งออกยางมาตรฐาน EUDR ซึ่งมีอัตรากำไรที่ดีมีความต้องการในตลาดสูงขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับภาพรวมทั้งปี 2567 มีเป้าหมายการเติบโตยอดขายเป็น 16,000 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 12,182.61 ล้านบาท ขณะที่งบลงทุนกำหนดเป็นระยะ 2 ปี 2566-2567 ใช้รวม 1,200 ล้านบาท ปีนี้เน้นการปรับปรุงเครื่องจักรผลิตปาล์ม

"สำหรับปีนี้แนวโน้มไตรมาส 2 จะดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งธุรกิจยางและปาล์ม และยังน่าจะดีต่อไปอีกในไตรมาส 3 และ 4 ไปจนถึงอย่างน้อยปีหน้า"