‘กูรู’ แนะกระจายพอร์ตลงทุน หุ้นตปท.- ดีอาร์ - ทองคำ
“หุ้นไทย” ลงหนักผลตอบแทนไม่น่าดึงดูด "กูรู" มองหาการลงทุนใน “สินทรัพย์ทางเลือก” หวังสร้างรีเทิร์นเพิ่ม “ไทยพาณิชย์” ลุยลงทุนต่างประเทศ รอจังหวะหุ้นไทยฟื้น “กรุงไทย” ชี้ลงทุน DR และ DRx น่าสนใจ “วายแอลจี” แนะกระจายพอร์ตลงทุนใน “ทองคำ” 5-15%
ท่ามกลาง “หุ้นไทย” ที่ดัชนีปรับตัวลงหนัก “ผลตอบแทน” ไม่น่าดึงดูด ส่งผล “นักลงทุน” มองหาการลงทุนใน “สินทรัพย์ทางเลือก” หวังสร้างรีเทิร์นเพิ่ม “ไทยพาณิชย์” ลุยลงทุนต่างประเทศ รอจังหวะหุ้นไทยฟื้น “กรุงไทย” ชี้ลงทุน DR และ DRx น่าสนใจ “วายแอลจี” แนะกระจายพอร์ตลงทุนใน “ทองคำ” 5-15%
นายศรชัย สุเนต์ตา รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวในงานสัมมนา หุ้นไทย 2024 with the Dragon Fire “Discover new opportunities” เรื่อง Discover new opportunities ทลายกำแพงการลงทุน จัดโดย ฐานเศรษฐกิจ ว่า หากนักลงทุนสามารถลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่แล้ว และหากสามารถก้าวผ่านการลงทุนในช่วงนี้ได้ ก็สามารถออกไปลงทุนต่างประเทศ ซึ่งมีโอกาสการลงทุนที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น ทั้งในตลาดหุ้น ตราสารหนี้ และการลงทุนทางเลือก
ตลาดหุ้นไทยหากจะเห็นพัฒนาการในอนาคต ซึ่งในระยะสั้น หลายๆ ประเทศกำลังทำอยู่ด้วยการเพิ่ม corporate valueอย่าง เช่น ในตลาดหุ้นเกาหลี และตลาดหุ้นญี่ปุ่น ทุกวันนี้พยายามให้บริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ สามารถทำการซื้อหุ้นคืน (Treasury-Stock) เพื่อเพิ่ม ROE ให้กับบริษัท รวมถึงการจ่ายเงินปันผลในระดับที่ค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตาม จากที่ประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้วางมาตรการสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนต่อตลาดหุ้นไทยแล้ว หลังจากนี้ เชื่อว่า จะมีมาตรการในลักษณะการเพิ่ม corporate value ตามมาด้วยเช่นเดียวกันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวกลับมาดีขึ้นแน่นอน หลังปัจจุบันด้วย ราคาหุ้นไทย ถือว่าถูก และมาตรการต่างๆ ที่กำลังจะออกมาสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน และยกระดับตลาดทุนไทย
พร้อมกันนี้แนะว่าการลงทุนไม่ว่าจะเป็นการลงทุนตลาดต่างประเทศ และในประเทศ แนะว่าในภาวะเช่นนี้ “การกระจายความเสี่ยงการลงทุน” ยังเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด
อย่างเช่น ตลาดพัฒนาแล้ว ที่มีหุ้น New Economyจำนวนมากกว่าตลาดหุ้นไทย แต่ราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวในตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว ก็ถือว่าไม่ถูก ค่อนข้างแพง เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นไทย
แต่ด้วยปัจจัยพื้นฐานในตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว มีเซนทิเมนต์เชิงบวกของกำไรบริษัทที่เป็นNew Economyเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดหุ้นพัฒนาแล้วยังคงมีเสถียรภาพได้
ดังนั้น แนะนักลงทุนควรจะแบ่งพอร์ตลงทุนส่วนหนึ่งเป็นการลงทุนในประเทศ และอีกส่วนหนึ่งออกไปลงทุนสร้างโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ รวมถึงยังต้องแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนเป็นเงินลงทุนระยะสั้นกับระยะยาว อย่างการลงทุนระยะยาว นักลงทุนทั่วไปจะเรียกว่า การจัดพอร์ตแบบ CorePort ที่กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก หากไม่สามารถบริหารจัดการเองได้แนะลงทุนผ่านกองทุนรวม ที่มีผู้เชี่ยวชาญการลงทุนต่างประเทศบริหารจัดการให้ เช่น กระจายสัดส่วน 80% ไปใน Core Port ส่วนที่เหลืออีก 20% จัดพอร์ตแบบ Satellite Port เป็นการลงทุนระยะสั้นในระยะ 1 ปี
‘กรุงไทย’ เผยมูลค่า DR-DRx กว่า 26 หมื่นล้านบาท
นายต่อตระกูล สัตยาประเสริฐ Head Of Structuring and Products Development ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB กล่าวในงานสัมมนา หุ้นไทย 2024 with the Dragon Fire “Discover new opportunities” เรื่อง Discover new opportunities : ลงทุนสินทรัพย์ทางเลือกหุ้น Mega Trend เปิดเผยว่า ปัจจุบันมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมอยู่ที่ 26.30 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ที่ 17.06 หมื่นล้านบาท ซึ่งมี 4 ผู้ออก คือ ธนาคารกรุงไทย บล.บัวหลวง บล.หยวนต้า และบล.เคจีไอ
โดยปัจจุบันมีจำนวน DR ที่ 26 หลักทรัพย์ และ DRx ที่ 10 หลักทรัพย์ รวมเป็น 36 หลักทรัพย์ เมื่อเทียบกับปี 2566 DRmuj 18 หลักทรัพย์ และ DRx ที่ 5 หลักทรัพย์ ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าในปีนี้จะออก DR และ DRx เพิ่มอีก 10 หลักทรัพย์
ทั้งนี้ ล่าสุดธนาคารกรุงไทยได้ออก DR และ DRx รวมกัน 6 หลักทรัพย์ ในประเทศญี่ปุ่น และสหรัฐ โดยแบ่งออกเป็น DR จำนวน 3 หลักทรัพย์ใหม่ อ้างอิงหุ้นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ได้แก่ SONY80 อ้างอิงหุ้นบริษัท SONY GROUP CORPORATION (6758) บริษัทผู้นำด้านนวัตกรรม ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้านภาพ เสียง และเกมชื่อดัง อาทิ PlayStation และยังเป็นผู้นำด้านชิปเซนเซอร์รูปภาพที่ใช้ในกล้อง รถยนต์ และโทรศัพท์มือถือ
TOYOTA80 อ้างอิงหุ้นบริษัท TOYOTA MOTOR CORPORATION (6758) ผู้ผลิตและจำหน่ายยานยนต์ชั้นนำในระดับโลก และ หุ้น UNIQLO80 อ้างอิงหุ้นบริษัท FAST RETAILING (7203) ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องแต่งกาย อาทิ แบรนด์ UNIQLO และ GU
ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐ DRx ได้แก่ BRKB80X อ้างอิงหุ้นบริษัท BERKSHIRE HATHAWAY INC. (BRK-ฺB) บริษัท โฮลดิ้งซึ่งบริหารโดย วอร์เรน บัฟเฟตต์ และถือหุ้นบริษัทในหลายประเทศทั่วโลก หุ้น KO80X อ้างอิงหุ้นบริษัท THE COCA-COLA
COMPANY (KO) บริษัทผู้ผลิต และจำหน่ายเครื่องดื่มที่เป็นที่รู้จัก ภายใต้แบรนด์ โค้ก สไปรท์ และแฟนต้า และหุ้น PEP80X อ้างอิงหุ้นบริษัท PEPSICO. INC (PEPX บริษัทผู้ผลิตอาหาร และเครื่องดื่มชั้นนำ ภายใต้แบรนด์ เป๊ปซี่ เซเว่นอัพ มิรินด้า และเลย์
“ตลาดหุ้นที่มีการนำ DR และ DRx ที่ก่อนหน้านำมาออกก่อนหน้าแล้วมีตั้งแต่หุ้นดังในสหรัฐ ยุโรป เวียดนาม สิงคโปร์ ญุี่ปุ่น และฮ่องกงโดยนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนใน DR และ DRx สามารถได้รับเงินปันผลหลังจากที่หุ้นอ้างอิงต่างประเทศมีการประกาศจ่ายเงินปันผล ประมาณ 3-4 สัปดาห์ รวมถึงผู้ออก DR และ DRx มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายเหมือนกับหุ้นไทย และรับเงินปันผลช่องทางเดียวกันกับหุ้นไทย”
ทั้งนี้ DRx ที่น่าสนใจคือ สามารถลงทุนได้หน่วยที่เล็กมากที่ 0.0001 หน่วยก็ซื้อได้ ซึ่งนักลงทุนที่เข้าไปลงทุนในคริปโทฯ จะมีความคุ้นเคย และการลงทุนใน DR และ DRx เป็นทางเลือกmuj มีหลากหลายให้นักลงทุน เพราะในแต่ละประเทศมีหุ้นที่โดดเด่นแตกต่างกัน ซึ่งจะออกให้ตรงกับธีม และจุดแข็งแต่ละประเทศว่าเป็นอย่างไร เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุนต่อไป
จับตาทองคำพุ่ง 2,600 ดอลลาร์ แนะติดพอร์ต 5-15%
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นเเนล จำกัด เปิดเผยว่า ราคาทองคำปรับตัวพุ่งแรงตั้งแต่ช่วงโควิดที่ผ่าน จากสถานการณ์หลายอย่างที่หลายคนมีความกังวลมองทองคำเป็นสินทรัพย์ Safe Haven หลังจากที่ธนาคารกลางหลายๆ ประเทศต่างเทขายสินทรัพย์อื่น ๆ โดยเฉพาะยูเอสดอลลาร์สหรัฐ เข้ามาถือทองคำ ทำให้ราคาทองคำช่วงที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ถ้าดูในฝั่งของเอเชีย แนวโน้มทิศทางการถือทองคำปรับเพิ่มขึ้น หลังจากลดการถือครองยูเอสดอลลาร์ เข้ามาถือทองคำมากขึ้น อย่างประเทศคือ จีน อินเดีย รัสเซีย ที่เข้าถืออย่างต่อเนื่อง แม้ว่าล่าสุดเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน จีนมีการออกมาบอกว่า จะเริ่มหยุดซื้องทองคำ หลังจากที่ซื้อติดต่อมาเป็นระยะเวลา 18 เดือน และย้อนไปเมื่อ 5-6 ปีก่อน จีนถือทองคำแค่ 2% แต่วันนี้จีนถือทองคำอยู่ 2,200 ตัน หรือประมาณ 4.7-4.9% ขณะที่แบงก์ชาติไทยมีการสะสมทองคำเพิ่มขึ้นเป็น 100 กว่าตัน หรือเกือบ 8%
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า กองทุน ETF ปัจจุบันจะถือทองคำต่ำที่สุด หลังจากที่พันธบัตรสหรัฐช่วงที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนค่อนข้างดีจึงมีการเทขายทองคำออกไป แต่ราคาทองก็ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงอยู่ที่ 2,300-2,400 ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นถ้าหากเมื่อไรที่กองทุน ETF เริ่มกลับเข้ามาราคาทองคำยังมีโอกาสไปต่อได้
โดยสังเกตปัจจัยหลักๆ ทำให้ทองคำพุ่งสูงขึ้นจากธนาคารกลางเข้าซื้อ รวมถึงปัจจัยหนี้สหรัฐที่ต้องติดตาม ซึ่งช่วงที่ผ่านมาสหรัฐมีการอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบมีการพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นมา ราคาทองคำขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน และการเลือกตั้งสหรัฐเดือนพ.ย.นี้
“สมาพันธ์ทองคำโลก มีการจัดพอร์ตตัวเลขออกมาว่า สัดส่วนที่ดีในการลงทุนทองคำ ควรมีในพอร์ตประมาณ 5-15% จะช่วยให้ผลตอบแทนในการลงทุนทองคำที่ดี เพื่อเป็นการกระจายการลงทุน”
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนโยบายเฟดมีผลกับราคาทองคำเช่นกัน ก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ว่า ปีนี้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั้งหมด 3 ครั้ง แต่สุดท้ายเหลือแค่ครั้งเดียว ซึ่งถ้าเมื่อไรมีการประกาศเศรษฐกิจสหรัฐดี ทองคำจะมีการปรับตัวลดลง ซึ่งยิ่งถ้ามีการปรับขึ้นนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง ผลตอบแทนในพันธบัตรดีกว่า นักลงทุนก็จะเทขายทองคำทิ้ง แต่ถ้าเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยนักลงทุนก็จะเข้ามาลงทุนในทองคำ
ขณะเดียวกันทางธรณีวิทยาสหรัฐ พบว่า เหมืองที่พบทองคำมีปริมาณ 59,000 ตัน และพอไปดูยอดการผลิตทองคำใหม่ทุกๆ ปีจะผลิตทองได้ 3,300 ตัน แต่ 2 ปีที่ผ่านมา ผลิตทองได้ที่ 3,000 ตัน จะเหลือประมาณ แค่ 19 ปีเท่านั้น
โดยระยะสั้นมองว่า อาจจะมีแรงเทขายทำกำไรจะมีการย่อตัวลงมาที่จุดแนวรับ 2,277 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และรับที่ 2,228 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถ้าเป็นเงินบาทจะอยู่ที่ 39,500-38,700 บาท แต่ถ้าดูภาพใหญ่ราคาทองคำระยะยาวปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปรับเพิ่มขึ้นทุกปี และร้อนแรงช่วงโควิด ต่อด้วยสงครามแต่ละประเทศ และหนี้สาธารณะสหรัฐ ในปัจจัยเหล่านี้ทำให้ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นรุนแรง โดยมองแนวต้านที่ 2,500-2,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 46,000 บาท โดยในปีนี้ทำจุดสูงสุดใหม่ไปแล้วที่ 2,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แนะไทยขับเคลื่อนตามเมกะเทรนด์โลก
นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP กล่าวว่า เมกะเทรนด์ของโลกปัจจุบัน คือ เรื่อง Climate Change และเมื่อค้นหาข้อมูลต่อไปก็ยิ่งตอกย้ำว่าเทรนด์ในอนาคตจะเกี่ยวข้องกับ Climate Change การปรับสู่การใช้พลังงานสะอาด (Cleaner และ Greener) สอดคล้องประเทศไทยที่ร่วมประชุมบนเวที COP ที่ประเทศอียิปต์ และทำข้อตกลงว่าภายในปี 2025 จะมีการลดโรงไฟฟ้าที่มาจากการใช้น้ำมัน และเริ่มใช้โรงไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวียน
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคที่อาจทำให้ไม่สามารถไปสู่เมกะเทรนด์ดังกล่าวได้ คือ ตลาดคาร์บอน หากเป็นที่ยุโรป คาร์บอนไดออกไซด์ 1 ตัน ขายได้ 90 ยูโร จีนจะขายได้ 7 ดอลลาร์ แต่ไทยปัจจุบันยังไม่มีตลาดคาร์บอน
“สิ่งที่ทำให้ยุโรป และจีนสามารถไปได้ไกล เพราะทั้ง 2 ประเทศมีภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) หากผลิตคาร์บอนเกินโควตาจะต้องเสียภาษี ทำให้บริษัทแห่งหนึ่งที่ผลิตคาร์บอนเกินโควตา ต้องซื้อคาร์บอนเครดิตจากอีกบริษัทหนึ่งที่โควตายังเหลืออยู่ ทำให้ตลาดเติบโตมีมูลค่ามากขึ้น”
นายภัคพล กล่าวว่า เป้าหมายของบริษัทหลังจากปี 2026 จะเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าเป็น 540 เมกะวัตต์ โดยที่ 40 เมกะวัตต์ ยังเป็นความร้อนทิ้ง ส่วน 79 เมกะวัตต์จะเป็นโซลาร์ ขณะที่อีก 420 เมกะวัตต์จะเป็นพลังงานขยะ และถ่านหินจะกลายเป็นศูนย์ วิธีการที่บริษัทจะผลิตไฟฟ้าโดยปราศจากถ่านหินคือ เพิ่มกำลังการผลิตโซลาร์เซลล์ 73 เมกะวัตต์ ที่ จ.สระบุรี คาดว่า จะขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์หรือ COD เริ่มกลางปี 2567-256 ส่วนโซลาร์รูฟท็อปมีอยู่ประมาณ 6 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าภายใน 1-2 เดือนจะดำเนินการแล้วเสร็จทั้งหมด โดยขายให้กับบริษัทแม่เช่นเดียวกัน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์