ต่างชาติทิ้งหุ้น 10 ปี ’1 ล้านล้าน‘ ไทยรั้งท้ายอาเซียน ติดกับดัก การเมืองป่วน

ต่างชาติทิ้งหุ้น 10 ปี ’1 ล้านล้าน‘ ไทยรั้งท้ายอาเซียน ติดกับดัก การเมืองป่วน

“ตลาดหุ้นไทย” ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา “นักลงทุนต่างชาติ” เทขายต่อเนื่องกว่า “1 ล้านล้าน” สัดส่วนการถือครองลดลง 10% เดิม 37% ล่าสุด 6 เดือนแรกปี 67 “ขายสุทธิ” กว่า “แสนล้าน”

ด้าน “บล.กสิกรไทย” เผย 5 สาเหตุผลทำหุ้นไทยดิ่งหนัก “จีดีพีโตต่ำ-กำไรต่อหุ้น และราคาทรุด-ภาคผลิตอยู่ในอุตสาหกรรมเก่า” พร้อมยกประเด็นการเมืองฉุดไทย ล่าสุด “4 คดี” กดดัน เผย “กองทุนเฮดจ์ฟันด์ท็อปภูมิภาค” ส่งสัญญาณกรณีเลวร้ายสุด อาจกระทบงบปี 2568 ส่อล่าช้าเหมือนงบปี 2567 ชี้ 20 วัน “การเมืองป่วน” ต่างชาติผวาเทขายเกือบ 4 หมื่นล้าน ดัชนีหุ้นไทยต่ำสุดรอบ 4 ปี

บรรยากาศการลงทุน “ตลาดหุ้นไทย” วานนี้ (20 มิ.ย.67) ดัชนี SET INDEX ร่วงต่ำสุดของวันอยู่ที่ 10.13 จุด มาอยู่ที่ 1,293.69 จุด ก่อนเคลื่อนไหวมาปิดตลาดที่ 1,298.29 จุด ลดลง 5.53 จุด หรือ 0.42% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 37,897.06 ล้านบาท

โดยพบ “นักลงทุนต่างชาติ” ขายสุทธิ 1,959.89 ล้านบาท ถือเป็นการขายสุทธิต่อเนื่อง 20 วันทำการนับตั้งแต่อุณหภูมิทางการเมืองกลับมาร้อนแรง เมื่อวันที่ 23 พ.ค.2567 หลังศาลรัฐธรรมนูญกำหนดให้นายกฯ ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน สะท้อนผ่านต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่องกว่า 40,000 ล้านบาท 

 

ต่างชาติทิ้งหุ้น 10 ปี ’1 ล้านล้าน‘ ไทยรั้งท้ายอาเซียน ติดกับดัก การเมืองป่วน

ทั้งนี้ หากดูในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติลดลงถึง 10% หรือคิดเป็นมูลค่าเงินไหลออกจากหุ้นไทยกว่า “1 ล้านล้านบาท” ทำให้สัดส่วนนักลงทุนต่างชาติการถือครองหุ้นไทย ลดลงจาก 37% เหลือ 27% ในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยกว่า “1 แสนล้านบาท” 

สาเหตุ “หุ้นไทย” ย่ำอยู่ที่เดิม 

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า มี 5 สาเหตุที่หุ้นไทยติดกับดักในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สะท้อนผ่านดัชนีหุ้นไทย “ยังไม่ไปไหน” คือ 1.การขยายตัวเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ยังติดกับดักอยู่ที่ 2-2.5% และคาดการณ์เศรษฐกิจไทยมักจะถูกปรับลดลดลงในเดือนธ.ค. น้อยกว่าที่คาดไว้เดิมในเดือนม.ค.ราว 1% 

2. กำไรต่อหุ้น  (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ยังติดกับดักที่ระดับ 90-95 เท่า คิดเป็นความสามารถในการทำกำไรไม่เกิน 2.5 หมื่นล้านบาท ต่อไตรมาส หรือไม่เกิน  1 ล้านล้านบาทต่อปี 

3. ราคาหุ้น (PE) ในตลาดหุ้นไทยยังติดกับดักที่ 13 เท่า ยังไม่เติบโตไม่ถึง 20 เท่า เหมือนตลาดหุ้นโลกอย่างประเทศพัฒนาแล้วได้

 

4.ภาคการเกษตรและภาคการผลิตติดกับดัก ขีดความสามารถในการแข่งขัน  โดยภาคการเกษตรฟื้นยาก จากราคาผลผลิตตกต่ำ โดยเฉพาะข้าว ขณะที่ภาคการผลิตคิดเป็น 30% ของจีดีพี พบว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โครงสร้างภาคการผลิตของไทย สัดส่วน 27% เป็นธุรกิจดั่งเดิมมีธุรกิจที่ใช้ AI และใช้เทคโนโลยี มีสัดส่วนเพียง 3% ถือว่าต่ำสุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค อย่าง เอเชียเหนือ เช่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ มีสัดส่วนภาคการผลิต 30% เท่ากัน แต่มีธุรกิจที่ใช้ AI และเทคโนโลยีสัดส่วนถึง 15% รวมถึงสิงคโปร์ และเอเชียใต้หลายประเทศแซงหน้าไปแล้ว 

และ 5.ยังติดกับดักความเสี่ยงการเมืองในประเทศ ทำให้ “นักลงทุนต่างชาติ” มอง “หุ้นไทยไม่ฟื้น” และขายทำกำไรหุ้นไทยต่อเนื่อง กระทั่งล่าสุดดัชนีตลาดหุ้นไทย ยังปรับตัวลงต่อเนื่องหลุด 1,300 จุด และในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา โดยนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยกว่า 1 แสนล้านบาท 

นายสรพล  กล่าวต่อว่า จากการพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติ ที่เป็น “กองทุนเฮดจ์ฟันด์” ระดับท็อปของภูมิภาค พบว่า สาเหตุที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังเทขายหุ้นไทย เนื่องจากมีความกังวลปัจจัยเสี่ยงการเมืองในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะหากเกิดกรณีเลวร้ายที่สุดจะส่งผลกระทบต่องบประมาณปี 2568 จะล่าช้าออกไปเหมือนงบประมาณปี 2567 หรือไม่ 

ขณะเดียวกัน นักลงทุนในประเทศส่วนใหญ่ ไม่ได้มีความกังวลปัจจัยเสี่ยงการเมืองในประเทศ แต่กำลังอยู่ในภาวะใช้ความกลัวนำเหตุผล สะท้อนชัดเจนจากหุ้นหลายตัวราคาแตะฟลอร์เป็นหุ้นที่วางเป็นประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิน เมื่อราคาหุ้นตกลงไปมากจนแตะระดับต้องเรียกหลักประกัน Call และ Force sell ในที่สุด ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นในปี 2563 ช่วงเกิดสถานการณ์โควิด-19 แต่สถานการณ์ปัจจุบันปัจจัยเสี่ยงแตกต่างกัน 

ชี้ 3 ปัจจัย หนุนแรงซื้อจากระดับ 1,280 จุด

ดังนั้น แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นยังมองว่า มีความหวัง และมีโอกาสฟื้นตัวจาก “3 ปัจจัยสำคัญ” ทำให้มีแรงซื้อหุ้นไทยกลับเข้ามา คือ

1. ช่วงต้นเดือนก.ค.การเมืองในประเทศมีความชัดเจน และนิ่งมากขึ้น

2.แนวโน้มเศรษฐกิจไทย และกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก

3. ภาครัฐมีความชัดเจนมากขึ้นในการกลับมาของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ตามแนวคิด รมว.คลัง และการบังคับใช้มาตรการ uptick เริ่ม 1 ก.ค.67 นี้ 

ทั้งนี้ จาก 3 ปัจจัยดังกล่าว แม้ไม่ต้องมีแรงขาย แต่เชื่อว่าจะมีแรงซื้อกลับมา ส่วนจะซื้อกลับเข้ามามากน้อยแค่ไหนยังต้องติดตาม แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นให้น้ำหนักมีโอกาสขึ้นมากกว่าลง เมื่อเทียบกับระดับดัชนีเป้าหมายสิ้นปีนี้คาดไว้ที่ 1,280 จุด และคาดในอีก 12 เดือนข้างหน้า หรือกลางปี 2568 มีโอกาสปรับตัวขึ้นที่ระดับ 1,450 จุด หรือยังมีอัพไซด์ 10% จากโอกาสที่เศรษฐกิจไทยปีหน้ามีความหวังดีขึ้นมากกว่าปีนี้ เพราะ พ.ร.บ.งบประมาณสามารถเบิกจ่ายได้เต็มปี ทำให้มองว่ามีความเป็นไปได้มากกว่าดาวน์ไซด์ 10% ดัชนีที่ระดับ 1,100 จุด 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนหุ้นไทย แน่นอนว่า ดัชนีที่ระดับ 1,280 จุด สะท้อนตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นช้ากว่า (underperform) ตลาดหุ้นโลก ราว 50% ซึ่งราคาหุ้น (PE) ยังถือว่าถูก และที่สำคัญเมื่อเทียบกับส่วนต่างผลตอบแทนจากปันผลของหุ้น กับผลตอบแทนดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาล (Earning yield gap ) เริ่มกลับที่ระดับ 4% ทำให้การลงทุนหุ้นมีความน่าสนใจ 

แต่อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นในกลุ่มธุรกิจที่มีสัดส่วนรายได้เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจต่างประเทศ เช่น เศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นหรือเศรษฐกิจสหรัฐที่ไม่ได้แย่นัก เช่น ธุรกิจโรงกลั่น(TOP, SPRC) ธุรกิจส่งออกอาหารสัตว์ และยาง รวมถึงธุรกิจเดินเรือ เนื่องจากในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานี้ ที่ดัชนีหุ้นไทยลงกว่า 100 จุด พบว่า หุ้นที่ธุรกิจมีสัดส่วนรายได้เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในประเทศปรับตัวลงแรง ในขณะที่หุ้นที่สัดส่วนรายได้เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในประเทศไม่ปรับลดลงแต่อย่างใด 

20 วันทำการ “การเมือง” ปั่นป่วน ต่างชาติขายเกือบ 4 หมื่นล้าน. 

อย่างไรก็ตาม แรงกดดันการเมืองในประเทศแซงหน้าความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ และตลาดหุ้น นำไปสู่เม็ดเงินต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยทุกวัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.2567 ยอดสะสมมาเรื่อยๆ 4 คดี  ได้แก่ 1.ศาลรัฐธรรมนูญ นัดพิจารณา คดียุบพรรคก้าวไกล สั่งยืนพยานเพิ่ม 2.ศาลรัฐธรรมนูญ นัดพิจารณา คดี 40 สว.ยื่นถอดถอนนายเศรษฐา สั่งยืนบัญชีพยานเพิ่ม 3.ศาลรัฐธรรมนูญ นัดชี้ขาดคำร้องพ.ร.ป .ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ และ 4.อัยการนัดนำตัว ทักษิณ ส่งฟ้องศาลคดี 112 โดยกระจุกให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพร้อมกันในวันที่ 18 มิ.ย.2567

ทั้งนี้ ตั้งแต่ 23 พ.ค. - 20 มิ.ย.2567 ปัจจัยการเมืองในประเทศกดดันดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมา 6.2% จากนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 31,471 ล้านบาท 

เมื่อ 18 มิ.ย.2567 แรงกดดันเบาลง จากความคืบหน้าทางการเมืองมีพัฒนาการเชิงบวก 2 ประเด็น คือ   1.ศาลอาญาประทับรับฟ้อง คดีนายกทักษิณ ทำผิดมาตรา 112 แต่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว โดยยื่นหลักทรัพย์ 5 แสนบาท และ 2.ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ กระบวนการเลือก สว.67 ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ พร้อมเดินหน้าต่อ เลือก สว.26 มิ.ย.นี้  ซึ่งประเด็นทั้งสอง ลดระดับความกังวลในเรื่องการเบิกจ่ายงบปี 2568 ล่าช้า รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจยังคืบหน้าตามแผน 

แต่ยังมีอีก 2 ประเด็น คาดจะได้ข้อสรุป ช่วงเดือนก.ค.2567 คือ 1.คดี 40 สว.ยื่นถอดถอนนายก เศรษฐา  ศาลรัฐธรรมนูญ นัดพิจารณาสอบคุณสมบัติ นายกฯ จะมีขึ้นอีกรอบในวันที่ 10 ก.ค. 2567 และคดียุบพรรค ก้าวไกล ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาต่อในวันที่ 3 ก.ค.2567 และนัดให้คู่กรณีมาตรวจพยานหลักฐานวันที่  9 ก.ค.2567

แต่อย่างไรก็ตามความไม่ชัดเจนทางการเมืองยังคงหลงเหลือ มีส่วนกดดันตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังเทขายหุ้นไทยต่อเนื่อง มากที่สุดในภูมิภาค 19 วันทำการ ไหลออกสุทธิ 3.66 หมื่นล้านบาท 

หากนับ 20 วันทำการ (21 พ.ค.-20 มิ.ย. 2567 ) ต่างชาติเทขายหุ้นไทย ติดต่อกันแล้ว 3.9 หมื่นล้านบาท จากประเด็นความไม่แน่นอน จากปัจจัยการเมืองในประเทศยืดเยื้อ รวมถึงกนง.ส่งสัญญาณชัดเจนไม่ลดดอกเบี้ย ความกังวลความเสี่ยงสภาพคล่อง ในตลาดหุ้นบางบริษัท กดดัน ดัชนีหุ้นไทย ปรับตัวลงเร็วจนอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี  แต่มาพร้อมความคาดหวังเสถียรภาพของตลาดหุ้นไทย นำร่องโดยมาตรการ อัปติ๊ก (Uptick) เริ่ม 1 ก.ค.นี้

'นักลงทุน’ ขาดความเชื่อมั่นระดับสูง เหตุผวาการเมือง

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ ดัชนีฯ หุ้นไทยค่อนข้างผันผวน โดยสาเหตุหลักๆ มาจากสภาวะตลาดหุ้นไทย “ขาดความเชื่อมั่นระดับสูง” สะท้อนภาพทำให้ดัชนีหุ้นไทยลงลึก เนื่องจากนักลงทุนไม่อยากกลับเข้ามาลงทุน

ทั้งนี้ จากปัจจัยหลัก อาทิ มาตรการในตลาดทุนในการแก้ปัญหาชอร์ตเซล ส่วนมาตรการ Uptick Rule ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนที่ผิดปกติของราคาหลักทรัพย์ , นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่อง และปัจจัยที่เพิ่งเข้ามาส่งผลกระทบแค่เพียง 14 วันเท่านั้น ในประเด็นการเมืองที่ยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะ 2 คดี เป็นปัจจัยเสริมซึ่งมองเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเชิงลบให้ตลาดหุ้นไทย โดยหากนับตั้งแต่มีประเด็นการเมืองพบว่า “นักลงทุนต่างชาติ” ขายหุ้นไทยทะลุ 30,000 ล้านบาทแล้ว และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันต่างชาติขายหุ้นไทยกว่า 1 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดต้องรีบสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนกลับมา ด้วยมาตรการต่างๆ อย่าง “กองทุนรวมหุ้นระยะยาว” (LTF) กลับมาภาวะตลาดหุ้นก็น่าจะดีขึ้น ซึ่งก็หวังภาครัฐจะรีบดำเนินการ และควรคลอดออกมา 4-5 เดือนก่อนถึงช่วงสิ้นปี เพราะทุกฝ่ายจะได้เตรียมตัวได้ทัน และที่สำคัญกองทุน LTF เงื่อนไขต้องดึงดูดและตอบโจทย์นักลงทุน รวมทั้งรัฐต้องมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เห็นผลชัดเจน 

 

 

 


พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์