คลัง-ก.ล.ต.-ตลท. จ่อดึงเม็ดเงิน 5.3 แสนล้าน ฟื้นหุ้นไทย

คลัง-ก.ล.ต.-ตลท. จ่อดึงเม็ดเงิน 5.3 แสนล้าน ฟื้นหุ้นไทย

3 หน่วยงาน คลัง-ก.ล.ต.-ตลท. จ่อดึงเม็ดเงิน 5.3 แสนล้าน ฟื้นหุ้นไทย มาจากปรับเงื่อนไขกองทุน TESG ใหม่-ฟื้นกองทุนวายุภักษ์ใหม่ ‘พิชัย’ ชง ‘Thai ESG ใหม่’ เข้า ครม. ใน 2 สัปดาห์ ’ก.ล.ต.’ลั่นเปลี่ยนเงินออมเป็นเงินลงทุนระยะยาว หนุนความยั่งยืน 

KEY

POINTS

 

 

ช่วงที่ผ่านมา “ตลาดหุ้นไทย” ปรับตัวลงลึก สะท้อนผ่านดัชนี SET INDEX หลุด 1,300 จุด จากสารพัดปัจจัยกระทบ โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ บ่งชี้ผ่านเงินต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันระดับ “แสนล้านบาท” ส่งผลให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในแวดวงต้องเร่ง

วานนี้ (24 มิ.ย.) 3 หน่วยงาน คลัง-ก.ล.ต.-ตลท. ผนึกกำลังแถลง “มาตรการขับเคลื่อนตลาดทุนไทย หวังเรียกความเชื่อมั่นฟื้นตัวตลาดหุ้นกลับคืน ด้วยมาตรการดึงเม็ดเงินลงทุนกว่า 5.3 แสนล้านบาท โดยมาจากปรับเงื่อนไข “กองทุน TESG” ใหม่ คาดเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้าน ในช่วง 5 เดือนปีนี้ พร้อมเตรียมจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ใหม่ เพิ่มอีก 1.5 แสนล้านจาก 3.5 แสนล้าน เสนอขายรายย่อยก่อน ก.ล.ต.ลั่นเปลี่ยนเงินออมเป็นเงินลงทุนระยะยาว เพื่อหนุนความยั่งยืน

คลัง-ก.ล.ต.-ตลท. จ่อดึงเม็ดเงิน 5.3 แสนล้าน ฟื้นหุ้นไทย

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอการปรับเงื่อนไขกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG Fund) เพื่อส่งเสริมการออมผ่านการลงทุนในตลาดทุน สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนและกระตุ้นเม็ดเงินตลาดทุนในระยะยาว โดยจะมีการปรับเงื่อนไข 3 เรื่อง ได้แก่ 

1.การขยายวงเงิน ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินและซื้อได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท จากเดิมไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ จากผลการศึกษาพบว่า เงินลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ทุก 1 หมื่นล้าน จะส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) 25-27 จุด อีกทั้งจะเป็นทางเลือกในการออมให้กับกลุ่มคนอายุน้อย อาชีพอิสระและกลุ่มคนที่ลงทุนในวงเงินเกษียณ เช่น RMF ไม่เต็มจำนวน

2.การปรับระยะถือครอง 5 ปี นับจากวันที่ซื้อ เพื่อดึงดูดกลุ่มคนอายุน้อย อาชีพอิสระที่รับความเสี่ยงการลงทุนในหลักทรัพย์ได้ แต่ต้องการสภาพคล่องสูงกว่า

3.การขยายนโยบายลงทุน ส่งเสริมให้มีการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินการที่สร้างความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนในมิติที่ครอบคลุมมากขึ้นจากเดิมที่มุ่งเน้นกิจการที่โดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) ให้เพิ่มเติมด้านธรรมาภิบาล (Governance) และส่งเสริมความโปร่งใส ให้ข้อมูลเชิงมูลค่าประกอบการตัดสินใจมากขึ้น

คลัง-ก.ล.ต.-ตลท. จ่อดึงเม็ดเงิน 5.3 แสนล้าน ฟื้นหุ้นไทย
เตรียมเสนอ ครม.ภายใน 2 สัปดาห์

“โดยคาดว่าภายในไม่เกิน 2 สัปดาห์จะสอบถามความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ครบและเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติซึ่งจะมีผลย้อนหลังถึงวันที่ 1 ม.ค.2567 โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาหลังเปิดขาย 4-5 เดือนสุดท้าย ไม่ต่ำกว่า 3-4 หมื่นล้านบาท"

นายพิชัย กล่าวต่อว่า จากเดิมที่มีการเสนอว่าจะมีการฟื้นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพื่อเป็นมาตรการเพื่อกระตุ้นตลาดทุนนั้น พบว่ามีจุดอ่อนอยู่ในเรื่องระยะเวลาถือครองที่นานเกินไปและความเสี่ยงของหุ้นที่หลากหลาย

ดังนั้นการเจาะจงการลงทุนในด้านความยั่งยืนจึงมองว่าจะเป็นเทรนด์อนาคตที่มีโอกาสและยังมีแนวโน้มในการเติบโตจากธุรกิจที่ยังมีขนาดกลางและขนาดเล็ก อีกทั้งเชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะเป็นการส่งเสริมการออมเงินที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้จริง

โดยคาดว่าการปรับเงื่อนไขกองทุน Thai ESG จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ 1.3 หมื่นล้านบาท โดยการคำนวณจากฐานผู้เสียภาษีใช้สิทธิลดหย่อนเต็มเพดาน

ทุกฝ่ายเห็นชอบเงื่อนไขกองทุนใหม่

นางสาวพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นตลาดทุนไทย ด้วยการปรับปรุงเงื่อนไขกองทุน ThaiESG ด้วยการเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีจากเดิมไม่เกิน 100,000 บาท เป็นไม่เกิน 300,000 บาท โดยไม่นับรวมกับวงเงินลดหย่อนภาษีกองทุนอื่นๆ และลดระยะเวลาการถือครองเหลือ 5 ปี จากเดิม 8 ปี รวมถึงกำหนดมาตรการมีผลย้อนหลังสำหรับการลงทุนตั้งแต่ 1 ม.ค.2567 และใช้ระยะเวลาประเมินผล 3 ปี ตั้งแต่ 1 ม.ค.2567- 31 ธ.ค.2569

โดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้เห็นชอบเงื่อนไขกองทุน ThaiESG ใหม่แล้ว หลังจากนี้ ทางกระทรวงการคลัง เตรียมเสนอที่ประชุม ครม.พิจารณาอนุมัติไม่เกิน 2 สัปดาห์หลังจากนี้ และทางก.ล.ต.จะหารือกับทางสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์หุ้นไทยในกองทุน TESG ภายใต้เงื่อนใหม่ เน้น EและG เพิ่มเติม คาดว่า จะมีหุ้นเข้ามาเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 200 หุ้น จากปัจจุบันมีอยู่แล้ว จำนวน 128 หุ้น รวมไม่ต่ำกว่า 300 หุ้น

โดย ก.ล.ต.คาดว่ากองทุนTESG เงื่อนไขใหม่ จะเปิดเสนอขายให้กับนักลงทุนได้ในช่วงเดือนก.ค. นี้ คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามากองทุนTESG เงื่อนไขใหม่ ในช่วง5 เดือนที่เหลือปีนี้ ไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท และคาดว่าทั้งปีจะไม่ต่ำกว่า 60,000 ล้านบาท โดยอ้างอิงจากกองทุนTESG เดิมใช้เวลา2 เดือนและ เปิดเสนอขายเพียง1เดือนมีเม็ดเงินเข้ามาถึง6,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ การปรับเงื่อนไขกองทุน TESG น่าจะกระทบรายได้ภาษี ประมาณ 13,000 ล้านบาท แต่จะได้กับฐานภาษีที่เปลี่ยนเงินออมเป็นเงินลงทุน คาดหวังสร้างพฤติกรรมทางบวก ทั้งจาก นักลงทุนคาดหวังทางผลประโยชน์ทางภาษี และนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว

แอลทีเอฟยังมีจุดอ่อน

ขณะเดียวกันการปรับเงื่อนไขกองทุน TESG แทนการฟื้นกองทุน LTF เนื่องจากพบว่า กองทุน LTF ยังมีจุดอ่อน ด้วยอายุของผู้ลงทุน ระยะเวลาถือครองนาน และนักลงทุนบางคนลงผิดจังหวะกับหุ้นที่มีความหลากหลาย

ดังนั้นหากต้องการเลือกกองทุนที่นักลงทุนมั่นใจ จะต้องหุ้นที่มีอนาคต เป็นกองทุนสีเขียว และเป็นโอกาสที่บริษัทขนาดกลางและเล็กสามารถเติบโต เดินหน้าสู่ESG ไปสู่อนาคต มี ROE กำไรเติบโต

พร้อมกันนี้ กระทรวงการคลัง ยังมีแนวคิดและอยู่ระหว่างการศึกษา เพื่อฟื้นกองทุนวายุภักษ์ที่เดิมมีอยู่แล้ว 2 กองทุน สำหรับรายยย่อย กระทรวงการคลังและหน่วยงานอื่นๆอยู่แล้ว ที่มีวงเงินอยู่แล้ว 3.5 แสนล้านบาท และจะกองทุนวายุภักษ์ใหม่ หรือกองทุนวายุภักษ์ 3 อาจจะขายประชาชนทั่วไป คาดว่าจะมีวงเงินระดมทุนประมาณ 1.5 แสนล้านบาท เมื่อรวมกันแล้วจะมีเม็ดเงินระดมทุนเข้าสร้างสภาพคล่องในตลาดทุนรวมทั้งสิ้น 5 แสนล้านบาท ซึ่งการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ใหม่ ถ้าอิงจากเงื่อนไขกองเดิม คาดให้อัตราดอกเบี้ยประมาณ 3%เบื้องต้นคาดว่าจะได้เห็นในไตรมาส 3 ปีนี้


คลัง-ก.ล.ต.-ตลท. จ่อดึงเม็ดเงิน 5.3 แสนล้าน ฟื้นหุ้นไทย

“ภากร”ชี้หุ้นไทยราคาต่ำกว่าค่าเฉลี่ย5ปี

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ราคาหุ้นบางเซ็กเตอร์ ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง5ปีที่ผ่านมา ขณะที่ EPS ของบางเซ็กเตอร์  เริ่มขยับขึ้น  ไม่ว่าจะเป็น  บริโภคเอกชน ส่งออก ไอที เฮลธ์แคร์

แต่ในบางเซ็กเตอร์ ยังไม่ฟื้นตัว ได้แก่ พลังงาน การเงิน ซึ่งเป็นเซ็กเตอร์ขนาดใหญ่มีผลต่อขนาดของเศรษฐกิจมาก และมีน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยมาก ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังไม่ฟื้นตัว 

แต่อย่างไรก็ตามมองว่า บางเซ็กเตอร์ มี PE ยังต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปี และนักวิเคราะห์ยังมองแนวโน้มผลประกอบการและเศรษฐกิจมีทิศทางที่ดีในอนาคต แต่ยังต้องพิจารณาเลือกหุ้นเป็นรายตัว หรือรายบริษัท ดังนั้นช่วงตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงในช่วงนี้ ยังเป็นโอกาสเข้าลงทุน  

ขณะเดียวกัน ตลท. มีมาตรการเพิ่มความเชื่อมั่นนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งยังคงดำเนินการตามแผนงาน  คาดหวังว่า ตลาดหุ้นไทย จะเป็นตลาดที่นักลงทุนเข้าถึงได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ โดยที่ราคาหุ้นไม่เคลื่อนไหวผันผวนมากจนเกินไป    

‘อินโนเวสท์ เอกซ์’ ส่องหุ้นไทยฟื้นไตรมาส 3

นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย เชื่อว่าสถานการณ์เลวร้ายต่างๆได้ผ่านไปแล้ว และหลังจากนี้น่าจะเห็นทิศทางการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป ที่จะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย ที่จะฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ดังนั้น Fundamental ถือว่าเริ่มฟื้นตัว

ทั้งนี้ กรณีที่ภาครัฐเร่งผลักดัน LTF หรือ Thai ESG ใหม่นั้น ต้องดูเงื่อนไขที่ชัดเจน แต่โดยรวมเชื่อว่ามีส่วนในการกระตุ้นหรือดึงเม็ดเงินเข้าตลาดหุ้นไทย เห็นได้จากอดีตที่มีการนำกองทุนหุ้นระยะยาว LTF ออกมาให้สามารถลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้น ที่เห็นเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

อย่างไรก็ตามมองว่า มี 5 ปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อตลาดหุ้นไทย ด้านแรกการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจองจีน และการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของจีน และการเลือกตั้งสหรัฐ และประเทศอื่นๆ รวมถึง การเบิกจ่ายภาครัฐ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือปีนี้ และสุดท้าย ผลประกอบการของตลาดหุ้นไทยว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงที่เหลือหรือไม่

หวั่นการเมืองทุบหุ้นไทยต่ำสุด 1,200จุด

นายปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่าสถานการณ์ที่ต้องติดตามในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย เช่น คดีนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน คดีอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร คดียุบพรรคก้าวไกล การเลือกตั้งส.ว. และผลต่อการจัดทำงบประมาณปี 68 และความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ

รวมถึงประเด็นทางการเมือง ที่มองว่าเป็นปัจจัยสำคัญต่อตลาดหุ้นไทย โดยกรณีพื้นฐาน (Base case) หากศาลตัดสินเป็นคุณนายกฯเศรษฐา ยังดำเนินต่อไปได้ ตามการบริหารราชการแผ่นดิน คาดว่าหุ้นไทยมีโอกาสเป็นไปตามเป้าหมาย และเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ที่ 2.5% ปีนี้

ส่วนกรณีเลวร้าย (Worse case) หากศาลตัดสินไม่เป็นคุณกับนายกฯเศรษฐา และนำไปสู่กระบวนการสรรหานายกฯคนใหม่ แต่ยังมาจากพรรคเพื่อไทย คาดว่า อาจกระทบต่อการจัดทำงบประมาณปี 2568 ล่าช้าอีก 1ไตรมาส และคาดเศรษฐกิจไทยขยายตัวลดลงเหลือ 2.3%

ส่วนกรณีร้ายแรงที่สุด (Worst case) หากศาลตัดสินไม่เป็นคุณกับนายกฯเศรษฐา และนำมาสู่การสรรหานายกฯคนใหม่ และไม่สามารถสรรหาได้ทันในไตรมาส3ปีนี้ อาจกระทบต่อการจัดทำงบประมาณล่าช้าไปอย่างน้อย 2 ไตรมาส ที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทยให้ต่ำเหลือ 2% และอาจเห็นตลาดหุ้นไทยลงไปที่ 1,200-1,250 จุดได้

‘หุ้นไทย’ติดลบยาวเป็นประวัติศาสตร์

นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโส ตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนบล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ในแง่ผลตอบแทนถือว่าติดลบต่อเนื่องและยาวนานที่สุด นับตั้งแต่มีตลาดหุ้นไทย และปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยครั้งนี้ ถือว่ากินระยะเวลายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ และให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่นๆค่อนข้างมาก

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 3-4 นี้ ถือว่ามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้น เนื่องจากมองว่าแก็ปต่างๆ ของตลาดหุ้นไทยน่าจะลดลง หากเทียบกับตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ทั้งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่มองว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งน่าจะหนุนให้ตลาดหุ้นไทย และเอเชีย ปรับตัว และให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น หากเทียบกับช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะ หุ้นในกลุ่ม การเงิน ปิโตเคมี ธุรกิจเกษตร และหุ้นขนาดเล็ก ที่จะได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ยังมองว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะฟื้นตัวมากขึ้น ตามตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่ต่างๆ ที่มีทิศทางการฟื้นตัว

ทั้งนี้ การฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทย มองว่ายังมาจาก ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ที่คาดว่า ครึ่งปีหลังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะหนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งหากดู Valuation หุ้นไทยถูกปรับลดลง แต่ยังเทรดที่ระดับพรีเมี่ยมเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทยปีนี้ ตั้งเป้าอยู่ที่ 1,500 จุด โดยมองว่าภาพรวมการเติบโตตลาดหุ้นยังคงมีต่อเนื่องโดยคาดอยู่ที่ 17-20% ปีนี้สำหรับหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์การฟื้นตัวตลาดหุ้น และผลประกอบการดีขึ้น คือ AVANC, KCE, OSP, PTTGC, TU

3แยก เพิ่มจุดเสี่ยง“ตลาดหุ้นไทย”

นายวิศกรณ์ คีรีวรรณ CFA ผู้อำนวยการ Investment Strategist ฝ่าย Wealth Products & Strategy อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า ไตรมาส 3 เป็นต้นไป อาจเห็นทางแยก หรือปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยโดยรวมที่สำคัญ 3 ด้าน

ปัจจัยแรก การดำเนินนโยบายการเงิน ที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยตามแผนของหลายธนาคาร ขณะที่เฟดคาดตรึงดอกเบี้ยไปจนถึงปลายปี ปัจจัยที่สอง คือ นโยบายการคลังและการเมืองระหว่างประเทศ ที่จะมีผลต่อตลาดการเงินน้อยลง เนื่องจากเข้าสู่ฤดูการเลือกตั้งปัจจัยสุดท้ายคือ ตัวแปรที่หนุนการเติบโตของตลาดทุนในแต่ละประเทศ

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุน หากตลาดหุ้นลดลงให้ซื้อ ขึ้นให้ขาย เช่น ตลาดสหรัฐ จีน เมื่อตลาดหุ้นพักฐาน ยังปรับมุมมองลงทุนในยุโรป และทองคำเพิ่มขึ้น และให้คำแนะนำลงทุนในเวียดนามลดลง สำหรับภาพลงทุนระยะยาว 3-6 เดือน และ 12 เดือนขึ้นไป