ทิสโก้เคาะ 'ถึงเวลาซื้อหุ้น' ลุ้นกำไรเฉลี่ยกว่า 10% รับดอกเบี้ยขาลงเศรษฐกิจฟื้น
ธ.ทิสโก้เคาะ “ถึงเวลาซื้อหุ้น” เข้าพอร์ตลงทุน เปิดสถิติช่วงดอกเบี้ยปรับตัวลดลงและเศรษฐกิจฟื้น ตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยกว่า 10% มากกว่าในสถานการณ์ปกติที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ 6% อีกทั้ง คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
ณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ Head of Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธนาคารกลางสำคัญหลายแห่งเริ่มส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ประกอบกับนักวิเคราะห์เริ่มปรับคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจในสถานการณ์ดังกล่าวธนาคารทิสโก้มองว่าเป็นจังหวะที่ลูกค้าสามารถเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยกว่า 10%
“ทิศทางการลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางเริ่มชัดเจนและภาพเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว ทำให้ความเสี่ยงการลงทุนในหุ้นเริ่มลดลง ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้เมื่อเทียบกับวัฏจักรการลดดอกเบี้ยและเศรษฐกิจฟื้น 4 รอบล่าสุดนับตั้งแต่ปี 2532 จะพบว่าหุ้นโลก (MSCI World Index) มักจะสร้างผลตอบแทนได้เฉลี่ยกว่า 10% มากกว่าเมื่อเทียบกับผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีปฏิทินตั้งแต่ 2532 – 2566 ที่ขยายตัวราว 6%”
สำหรับรายละเอียดปัจจัยสนับสนุนให้หุ้นกลับมาเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนในช่วงนี้ 3 ปัจจัย คือ
1.อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกมีแนวโน้มลดลง หลังจากอัตราเงินเฟ้อหลายประเทศมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ทำให้ธนาคารกลางสำคัญหลายแห่งทั่วโลกเริ่มส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง โดยธนาคารกลางยุโรปเริ่มลดดอกเบี้ยไปแล้วในเดือนมิถุนายน 2567 โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากระดับ 4.00% มาอยู่ที่ 3.75%
ในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ตลาดคาดว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยได้ในไตรมาส 4 และจะลดดอกเบี้ยได้อย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ รวมถึงธนาคารกลางในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาก็มีแนวโน้มปรับลดลงตามในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงจะช่วยเพิ่มมูลค่ากระแสเงินสดของหุ้นและทำให้หุ้นมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้
2.เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น นักเศรษฐศาสตร์เริ่มกลับมาปรับคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ มีดัชนีตัวแปรชี้ภาวะเศรษฐกิจล่วงหน้า (Leading indicator) ที่สำคัญอย่าง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรวมภาคการผลิตและภาคบริการ (Global Composite PMI) ล่าสุดเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 53.7 จุด บ่งชี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวเมื่อเกิน 50 จุด
นำโดยประเทศสหรัฐฯ, ยุโรป, จีน, ญี่ปุ่น ถือเป็นประเทศที่สำคัญที่ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัว ซึ่งเมื่อ Global Composite PMI ขยายตัว จะส่งผลให้ตัวเลข GDP ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงถัดไป ซึ่งล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่ปรับเพิ่มประมาณเศรษฐกิจโลกปี 2567 เป็น 3.2% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 3.1%
3.คาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัว ทำให้นักวิเคราะห์มีการปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกปีนี้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นปีที่แล้วราว 4.75% นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ 6% ญี่ปุ่น 4% ยุโรป 2% ซึ่งเมื่อมีการปรับประมาณการกำไรมักจะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม