‘กูรู’ ลุ้นหุ้นไทยพลิก ‘ขาขึ้น’ จับตา ก.ย. พ้นจุด 'ต่ำสุด' พร้อมทะยาน 1,500 จุด
“4 กูรู” ชี้หุ้นไทยครึ่งปีหลัง “ดาวน์ไซด์จำกัด” มีโอกาสปรับขึ้นแตะ 1,500 จุด พร้อมคัดหุ้นเด่น ทำกำไร เน้นลงทุนดัชนีระดับ 1,200 - 1,300 จุด ‘พี/อี’ ถูก เป็นจุดเข้าช้อน
KEY
POINTS
- “บล.กรุงศรี” จับตาก.ย. หุ้นไทยพลิก “ขาขึ้น” ลุ้นปัจจัยหนุนเพียบ
- “บล.พาย” ย้ำหุ้นไทยมีดีหากไม่มีความเสี่ยงใหม่ในและนอกประเทศ
- “บล.กสิกรไทย” ชี้ 6 เดือนข้างหน้า ภายใต้เศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น ส่งออกจะเริ่มกลับมาพีก
- “บล.ลิเบอเรเตอร์” หวังเห็นมาตรการกระตุ้นหุ้นเข้มขึ้น หนุนหุ้นไทยฟื้นได้จริง
กรุงเทพธุรกิจ จัดงานสัมมนา INVESTMENT FORUM 2024 “เจาะขุมทรัพย์ลงทุน... ยุคโลกเดือด! ในช่วง “เบญจภาคี 5 หุ้นเด่น ทำกำไร” มี “4กูรู” ตลาดทุนไทยมาให้มุมมองลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง “หุ้นไทยยังน่าลงทุน” จากครึ่งแรก หุ้นไทยปรับตัวลงมาต่ำเกินไป 50% เทียบกับตลาดหุ้นโลก
ทั้ง “4กูรู” มีมุมมองไปในทิศทางเดียวกันว่า ดัชนีหุ้นไทยจะดาวน์ไซด์จำกัดมาก แต่ยังมีความหวังจากแนวโน้ม “จีดีพี และกำไร บจ.” ครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งแรก
มีปัจจัยบวกจากรัฐเร่งเบิกจ่ายงบอุตสาหกรรม K ขากลาง และบนจะเพิ่มขึ้นธีมดาต้าเซนเตอร์จะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตให้เห็นกำไรต่อหุ้น (EPS) ยังยืนระดับ 90 เท่า โดยรอเวลา “ต่างชาติ” หยุดขาย และกลับเข้ามาลงทุนหุ้นไทย ทำให้นักลงทุนต้องเลือกลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตในช่วงครึ่งปีหลัง
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังยังคงมีลักษณะ “อึดอัด” ไปอีกระยะหนึ่ง 2-3 เดือนข้างหน้า และยังผันผวน ซึ่งอาจจะต้องรอจนกว่าสัญญาณชัดเจนที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทย “พลิกเป็นขาขึ้นทันที” เดือนก.ย.หุ้นจะดีขึ้น
หาก ปัจจัยหนุนมาครบทั้งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มลดดอกเบี้ยเดือนก.ย. จะเปลี่ยนกลุ่มหุ้นจากหุ้นเติบโตเป็นหุ้นมูลค่ากลับมาน่าสนใจ ,จีดีพีไตรมาส 2 ปี 2567 ที่จะประกาศในเดือนส.ค. ยังดีต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ปี 2567 และไตรมาส 3 ไตรมาส 4 โตต่อ ทั้งปีจีดีพีโตได้ 2.5-2.6% ตามที่ สศช. และธปท. คาดการณ์ หรือมากกว่า
รวมถึง นโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง ต้องไม่ขัดแย้งกันในประเด็นนโยบายดอกเบี้ย และปัจจัยการเมืองในประเทศคลี่คลายไม่มีความเสี่ยงใหม่เพิ่มเติม ประกอบกับมาตรการอัปติ๊กเริ่ม 1 ก.ค. เข้ามาจำกัดขาชอร์ตเซล ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ด้วย
สำหรับ กลยุทธ์ลงทุนหุ้นไทยครึ่งปีหลัง นายเผดิมภพ แนะนำ การลงทุนเน้นหุ้นที่ให้แคปปิตอลเกน และลงทุนในจังหวะเวลาที่เหมาะสม โดยมองหุ้นเด่นแบ่งเป็น 2 ชุดแรกสำหรับหุ้นชุดแรก เน้นลงทุนถือระยะยาว 3-6 เดือน ได้แก่ TRUE 10.30 บาท และ ADVANC 275 บาท โดยมองกลุ่มไอซีทีแข่งขันลดลง
และหุ้นชุดที่สอง เน้นลงทุนเทรดระยะสั้น 2-3 สัปดาห์ ได้แก่ SPRC 11 บาท ราคาปิโตรเลียมปรับขึ้น , หุ้น KCE 45 บาท แม้จะหลุดจาก SET50 การผลิตรถยนต์แย่ แต่ปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยน และ TTB 2.20 บาท กำไรไตรมาส 2 ฟื้นดีกว่าคาด รับข่าวลบไปแล้ว
นายกวี ชูกิจเกษม Head of Research and Content บล.พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตอนนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยใกล้จุดต่ำสุดแล้ว และยังมีความหวัง และอยากสร้างความมั่นใจกับ “หุ้นไทย” ครึ่งปีหลัง แม้อาจ “ดูไร้เสน่ห์” แต่ยังมีมุม “สวย” อยู่ โดยรอบนี้ อุตสาหกรรมที่ดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนโดยตรง (FDI) แทนเงินลงทุนทางอ้อมในตลาดหุ้นไทย
ส่วนใหญ่เข้ามาในอุตสาหกรรมยุคใหม่ ที่มีโอกาสเติบโตระยะข้างหน้า ทำให้ประเทศไทยยังเป็นเสน่ห์ ได้แก่ พลังงานทดแทน (กรีนเอ็นเนอร์ยี่ รถอีวี แบตเตอรี่ ขายคาร์บอนเครดิต) และธุรกิจดาต้าเซนเตอร์ รวมถึงเมดิคัลฮับที่ยังเป็นจุดแข็ง
ส่วนมาตรการคุมชอร์ตเซลเป็นการติดอาวุธให้กับตลาดหุ้นไทย และมองว่า ต่างชาติต้องหาวิธีการใหม่ มีโอกาสกลับมาทำกำไรหุ้นไทย จากปัจจัยพื้นฐานแทนการชอร์ตเซล
ดังนั้นด้วยระดับดัชนีหุ้นไทยลงมาที่ระดับ 1,200 จุด จากปีก่อนที่ระดับ 1,400 จุด และราคาหุ้นที่ 12 เท่า ถือว่าถูกมาเป็นจุดลงทุนหุ้นไทยแล้ว และโดนแรงขายต่างชาติ 10 ปี 1 ล้านล้าน แต่หุ้นไทยยังยืนได้ระดับนี้สะท้อนว่าตลาดหุ้นไทย “มีดี” หากไม่มีความเสี่ยงใหม่ทั้งปัจจัยนอก และในประเทศ จีดีพีไทยปีนี้โต 3% มองดัชนีหุ้นไทยปีนี้แนวรับ 1,200 จุด และแนวต้านไปถึง 1,500 จุด เป็นระดับที่เหมาะสม ไม่เวอร์เกินไป
“ระดับดัชนีตอนนี้ 1,300 จุด ก็น่าซื้อแล้ว หากหลุดต่ำกว่า 1,300 จุด มองว่าเป็นจุดไม่แพง ต่อให้มีความเสี่ยงลงไปอีก และอยู่จุดที่ได้เปรียบกว่าคนที่มีต้นทุนสูงที่ซื้อไปก่อนหน้านี้”
สำหรับหุ้นเด่นครึ่งปีหลัง เน้นหุ้นคุณค่า พีอีต่ำ ปันผลสูงถือระยะยาว ได้แก่ BBL 187 บาท พีอี 5.5 เท่า ปันผล 5.8% ,TU 19.10 บาท พีอี 12.80 เท่า ปันผล 4.6% , HMPRO 13.90 บาท พีอี 16.40 เท่า ปันผล 5.2% , SPALI 20.20 บาท พีอี 6.2 เท่า ปันผล 7.2% และ PTTEP 195 บาท พีอี 7.8 เท่า ปันผล 5.7% มองปีหน้าทุกตัวพีอีจะลดลง มีโอกาสรับปันผลเพิ่มขึ้นอีก
"แน่นอนว่าตลาดหุ้นไทยมีน่าสนใจ หุ้นเบญจภาคีที่แนะนำมา 5 ปีย้อนหลัง ผลตอบแทนอาจยังติดลบ แต่เชื่อว่าลงทุนระยะยาว 25 ปี จะกลับมาเป็นบวกได้"
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับลดลงมาที่ระดับ 1,280-1,300 จุด ถือว่าเหมาะสมหรือไม่ มองว่าเหมาะสมหากดูในแง่โครงสร้าง หรือภาพรวมของไทย ทั้งวัดจากการเติบโตเศรษฐกิจไทย ค่าเงิน อัตราการโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน
แต่อย่างไรก็ตามมองว่า การที่ดัชนีหุ้นไทยลงไปสู่ระดับ 1,280-1,300 จุด ถือว่า ลงมามากเกินไป เพราะหากนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2566จนถึงมิ.ย.2567หรือ 18 เดือนที่ผ่านมา จากการที่ตลาดหุ้นโลก Outperform ขณะที่หุ้นไทยUnderperform ลง 50%
ดังนั้น การลดลงของดัชนีถือว่าลดลงมากเกินไป จากหลายบริบททั้งจากเศรษฐกิจที่เพิ่งฟื้นกลับมาเพียง 0.5% จากโควิด-19 และ Earnings Per Share (EPS) หรือ กำไรต่อหุ้นกลับมาเพียง 2.4-2.5 แสนล้านบาท ต่อไตรมาส หากเทียบกับกำไร สวนทางกับประเทศอื่นๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ทั้งตลาดหุ้น และ EPS
สำหรับ 6 เดือนข้างหน้า ภายใต้เศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น ส่งออกจะเริ่มกลับมาพีกอัปมากขึ้น ก่อนการเปลี่ยนประธานาธิบดีที่จะหนุนให้จีดีพีในช่วง 3 ไตรมาสเติบโตติดต่อกันต่อเนื่อง ดังนั้น มองว่า EPS ที่ระดับ Earnings น่าจะยืนอยู่ได้ที่ระดับ 90 เท่า แรงหนุนที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยน่าสนใจมากขึ้น คือ การเข้ามาลงทุนในดาต้าเซนเตอร์ของต่างชาติในไทย ที่จะเป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยในระยะข้างหน้า ที่จะหนุนภาพจีดีพี และ EPS ให้ปรับตัวดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก
“ที่ผ่านมาเราไม่มี K ขากลาง หรือขาบนสู้กับต่างประเทศหรือไม่ ยาก แต่ช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ดาต้าเซนเตอร์ที่ดีที่สุดของโลกอยู่ในภูมิภาคเราแล้ว จุดแข็งใช้ไฟมากกว่าโรงงานอุตสาหกรรม 4 เท่า ใช้น้ำมากวิศวกรรมที่จะมาทำดาต้าเซนเตอร์ได้ แต่ประเทศไทยมีวิศวกรไม่ถึง 1 หมื่นคน และไม่เฉพาะแค่กัลฟ์กับกูเกิลเท่านั้นที่จะมาลงทุนด้านดาต้าเซนเตอร์ ดังนั้น ดาต้าเซนเตอร์จะเป็นธีมใหม่ของบ้านเราที่จะลงมาสู่ Earnings ที่เกิดขึ้นแล้ว”
ทั้งนี้ EPS อยู่ราว 91.5 เท่า กสิกรไทยมองอยู่ที่ 90 เท่า และ Earning yield gap เทียบผลตอบแทนจากการปันผลของหุ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 1,480 จุด จากวันนี้ 1,280 จุด
สำหรับ คำแนะนำการลงทุน ให้เป็น 2 ธีมหลัก ธีมดาต้าเซนเตอร์ และธีมจากการเปลี่ยนผ่าน IOS18 โดยดาต้าเซนเตอร์จะมีคนได้ประโยชน์คือ คนขายที่ดิน ขายไฟฟ้า และกลุ่มก่อสร้าง โดยคาดว่ามาร์จินของดาต้าเซนเตอร์หลังจากนี้จะเติบโตได้ 20%
ดังนั้น กลุ่มที่จะได้ประโยชน์คือ COM7ราคาเป้าหมาย 19.30 บาท,DELTA ราคาเป้าหมาย 95 บาท,PSLราคาเป้าหมาย 10.50 บาท, AMATA ราคาเป้าหมาย 23.10 บาท และ BGRIM 26.50 บาท รวมถึงหุ้นเดินเรือที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการส่งออกที่จะเร่งขึ้นในไตรมาส 3 ปีนี้
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปัจจุบันแม้จะฟื้นตัวขึ้นบ้าง แต่ประเมินแรงขายนักลงทุนต่างชาติอาจจะยังมีอยู่ เนื่องจากมาตรการสร้างความเชื่อมั่นต่างๆ เช่น การควบคุมการขายชอร์ต (Short Selling) เน็กเก็ต ชอร์ต (Naked Short Selling) โดยการใช้ Uptick Rule การควบคุมโปรแกรมเทรดหุ้นอัตโนมัติ (Robot Trading) รวมถึงการกระตุ้นด้วยสิทธิประโยชน์จากกองทุน ESG ยังไม่เข้มข้นพอ
ทั้งนี้ คาดหวังไตรมาส 3 ปี 2567 ตลาดหลักทรัพย์และหน่วยงานกำกับดูแลจะมีการเพิ่มเติมมาตรการเพิ่มเติมที่มาเสริมความมั่นใจการลงทุน และยังคาดหวังเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวสนับสนุนมูลค่า (Valuation) ตลาดหุ้นไทยให้สูงขึ้นได้
ตลาดหุ้นไทยจะน่าสนใจมากขึ้นหากกำไรบริษัทจดทะเบียนขยายตัวแข็งแกร่ง และในโครงสร้างตลาดหุ้นไทยสามารถเพิ่มธุรกิจที่เติบโตแรงประเภทใหม่เพิ่มเติม นอกเหนือจากธุรกิจค้าปลีก ธนาคารพาณิชย์ และพลังงาน
โดยปัจจุบันประมาณการจีดีพีประเทศไทยปี 2567 จะขยายตัว 2.5-2.9% และมีตลาดหุ้นไทยมีค่า P/E ราว 14-15 เท่า ทว่าประเทศเพื่อนบ้านจีดีพีจะขยายตัว 4-6% และบางแห่งค่า P/E ต่ำเพียง 10 เท่า
“หลัง 1 ก.ค. นี้ต้องดูว่า Uptick Rule จะได้ผลแค่ไหน โอกาสห้ามขายชอร์ตไม่น่าเห็นเกิดขึ้นอยู่แล้ว และยังต้องดูว่าจะมีมาตรการเพิ่มที่แอ็กชันได้ตรงจุดไหม ถ้ามาตรการไม่เข้มพอความเสี่ยงก็ยังคงอยู่”
สำหรับ หุ้นเด่นแนะนำดังนี้ CPALL 72 บาท มีโอกาสงบทั้งไตรมาส 2ปี2567 และปลายช่วงปลายปีนี้เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนจากผลบวกเศรษฐกิจฟื้น , ADVANC 260 บาท กระแสเงินสดแข็งแกร่ง ภาวะการแข่งขันต่ำลง รายได้ต่อเลขหมายโทรศัพท์สูงขึ้น , BH 290 บาท ได้ประโยชน์ผู้ป่วยต่างชาติกลับมาในประเทศไทยมากขึ้นแล้ว คาดกำไรธุรกิจดีขึ้นทุกไตรมาส และไตรมาส 3 เป็นไฮซีซัน ,
COCOCO 16.30 บาท ธุรกิจส่งออกน้ำมะพร้าวซึ่งส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลก ทิศทางกำไรขยายตัวทั้งรายไตรมาส และรายปี และจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ช่วยกระตุ้นยอดขายปี 2568 , SGC 3 บาท เป็นหุ้นที่มีโอกาสงบการเงินพลิกฟื้นจากปี 2566 ขาดทุนสูง แต่ปีนี้จะผลประกอบการฟื้นชัดเจนในกลางปี 2567 เป็นต้นไป ยอดสินเชื่อพอร์ตมือถือขยายตัวชัด ขณะที่ยอดหนี้เสียต่ำราว 1%
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์